รอบนี้จะพาไปชมที่นั่ง Business Class แบบใหม่ล่าสุดของสายการบิน ANA ที่ชื่อว่า the Room ซึ่งเปิดตัวมาก่อนโควิดนิดหน่อย เปิดตัวเดือนกรกฏาคมปี 2019 ตอนนี้มีให้บริการบนเครื่อง Boeing 777-300ER ซึ่งปัจจุบัน (กันยายน 2022) มีทั้งหมด 9 ลำ จาก 15 ลำในฝูงบิน โดยใน 9 ลำนี้ เป็นลำใหม่ที่เพิ่งส่งมอบเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และมีอีก 3 ลำที่ retrofit จากเครื่องเดิม คาดว่า ANA จะทะยอยปรับให้เป็นที่นั่งแบบใหม่ทั้งหมดในอีก 2-3 ปีข้างหน้าครับ
ห่างหายจากการรีวิวที่นั่งบนเครื่องบินไปนาน ผมถือโอกาสปั่นรีวิวที่ตุนมาตลอด 3 ปีตั้งแต่มีโควิด หลังจากนี้จะทะยอยคลอด blog ออกมาเรื่อยๆครับ
Flight
Aircraft: Boeing 777-300ER
Flight number NH105
Los Angeles (LAX) – Tokyo Haneda (HND)
Time 0.50 – 5.30 (12hr 10min)
Registration JA784A ลำที่ผมนั่งนี้เป็นเครื่องเก่า 12 ปี
Seat 13A
ค่าใช้จ่าย แลกไมล์ของ Asiana ใช้ 67,500 ไมล์ บวกค่าธรรมเนียมอีก 182,800 KRW ก็ตกประมาณ 4800 บาท ถือว่าคุ้มทีเดียว โดยแลกเป็นเส้นทาง Los Angeles – Tokyo Haneda – Bangkok business class ทั้งสองขา โดยในขา Haneda – Bangkok เป็น Boeing 787-9 ซึ่งก็น่าจะเคยมีคนรีวิวไว้เยอะแล้ว
ใครเป็นสมาชิก Asiana และมีไมล์อยู่แล้ว สามารถแลกทางออนไลน์ได้เลยที่ website นี้ครับ https://flyasiana.com/C/KR/EN/contents/star-alliance-mileage-tickets
หรือถ้าสนใจเกี่ยวกับโปรแกรม Asiana Club ผมได้รีวิวไว้ใน blog นี้
วันนี้ที่นั่งของเราคือ 13A เป็นที่นั่งริมหน้าต่าง
ที่นั่งของ the Room จะจัดเรียงเป็น 1-2-1 โดยโซนของ Business อยู่ถัดมาจากที่นั่ง First เริ่มแถวที่ 5 ซึ่งจุดเด่นของที่นั่งนี้ที่แตกต่างจากที่นั่ง business class ของสายการบินอื่นคือ ตัวเบาะกว้างมากกกกกก ที่พิงหลัง กว้างเท่า First class เลยก็ว่าได้ และมีประตูปิดได้ เพื่อความเป็นส่วนตัว
ไอเดียของการออกแบบที่นั่งนี้ใช้ space ได้คุ้มค่ามาก ทำให้ที่นั่งรู้สึกกว้างจริงๆ แต่ว่าตรงที่สอดขาก็จะเล็กลงมา พอๆกับที่นั่ง business ของสายการบินอื่น และตัวที่สอดขาของที่นั่งเรา ก็จะเป็นโต๊ะของที่นั่งตรงข้ามนั่นเอง
ถ้าดูจากแผนที่ จะเห็นว่า มีที่นั่งที่หันไปทางด้านหัวเครื่องบิน (แถวเลขคู่) และที่นั่งที่หันไปทางท้ายเครื่องบิน (แถวเลขคี่) ถ้าใครเมาเครื่องง่ายหน่อย แนะนำให้นั่งหันไปทางหัวเครื่องบินครับ ที่นั่งแถวริมหน้าต่าง ที่นั่งที่หันไปทางด้านหน้าเครื่อง เวลานอน ตัวจะชิดทางเดินมากกว่า ส่วนที่นั่งที่หันไปทางด้านท้ายเครื่อง เวลานอนจะชิดริมหน้าต่าง
แต่ทั้งสองแบบ ก็จะได้ความรู้สึกชิดริมหน้าต่างได้พอๆกัน นั่นเป็นเพราะตัวพนักพิงนั้นกว้างจากทางเดินไปจนถึงริมหน้าต่างนั่นเอง และความ privacy ของการที่นอนชิดริมทางเดินก็ไม่น่าเป็นปัญหาอะไร เพราะที่นั่งมีประตูให้ด้วย ส่วนตัวคิดว่าเลือกแบบไหนก็ได้ มันคือ window seat ทั้งคู่ครับ
มาดูหน้าจอกันบ้าง หน้าจอเป็น 4K ขนาด 24 นิ้ว เป็นแบบ touchscreen และก็มีรีโมทที่มีจอ touchscreen มาให้ด้วย ปุ่มปรับที่นั่งอยู่ด้านข้างรีโมท คุมได้แทบทุกอย่าง
Blog นี้จะโทนสีฟ้าหน่อยนะครับ เพราะ lighting ของเครื่องบิน โทนฟ้าตลอดเลย
ด้านข้างจอ จะมีตู้เก็บของเล็กๆ สามารถใส่หนังสือ มือถือได้ มีกระจก ปลั้กชาร์จไฟแบบ universal มีช่อง USB และมีช่องเสียบ HDMI ตามมาตรฐานที่นั่งรุ่นใหม่
ใต้ทีวี มีช่องเก็บของเล็กๆ เก็บมือถือได้ และมีโต๊ะกินข้าว ที่ต้อง slide ออกมา
ส่วนช่องเก็บขาก็ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ด้านใต้ช่องสอดขาก็วางของได้อีกครับ ใส่กระเป๋าเป้ หรือกระเป๋าถือได้
แต่บริเวณด้านล่างโต๊ะ จะห้ามวางของนะครับ แม้จะดูเหมือนเป็น space ว่างไว้ก็ตาม เข้าใจว่าสายการบินทำแบบนี้เพราะจะทำให้ที่นั่งรู้สึกโล่งโปร่งมากขึ้น
สำหรับปุ่ม seat control เป็นแบบไฟฟ้า ก็ปรับได้หลากหลาย ชอบตรงที่มีคันโยก เอาไว้ปรับเอนเก้าอี้ ทำให้สะดวกมาก ไม่ต้องออกแรงกดปุ่มค้างไว้ แค่ดันเอาเท่านั้น เลยสะดวกขึ้นมาก
ส่วนแถวล่างเป็นที่คุมไฟอ่านหนังสือ
แต่ละที่นั่งจะได้หมอน 2 ใบ ที่รองนอน ผ้าห่ม และรองเท้าแตะสำหรับใส่บนเครื่อง
ที่นั่ง the room มีประตูปิดได้ เป็น 2 ประตู บานที่อยู่ข้างที่นั่ง จะดันขึ้นมาจากด้านล่าง โดยกดปุ่มที่อยู่ตรงที่วางแขน และอีกปุ่มที่คุมประตูใหญ่ จะอยู่ตรงเหนือโต๊ะ
พอปิดประตูได้ 100% แบบนี้ก็จะรู้สึกว่าได้ความเป็นส่วนตัวสูงมากๆ มองไม่เห็นคนข้างนอกเลย ดังนั้นแม้จะนั่งที่นั่งริมหน้าต่างที่ชิดริมทางเดิน (หันหน้าไปทางหัวเครื่อง) ก็จะได้ความเป็นส่วนตัวไม่ต่างกับที่นั่งที่ชิดริมหน้าต่างเลย
รีโมทสำหรับหน้าจอ entertainment
นอกเหนือไปจากไฟส่วนตัวที่อยู่ด้านบน ตัวที่นั่งจะมีไฟอ่านหนังสือ 3 จุด อยู่ตรงข้างเบาะ 2 ที่ และข้างจอทีวีอีก 1 ที่ ซึ่งเพียงพอมากๆ
Amenity Kit ที่ให้มา ก็ตามมาตรฐาน กระเป๋าน่ารักดี
บนหน้าจอ โหมดที่ชอบมากๆคือ Flight Plan จะบอกว่า Timeline ของเที่ยวบินนี้เป็นอย่างไร เสิร์ฟอาหารตอนไหน บอกเวลาฝั่งแอลเอและโตเกียวให้พร้อมสรรพ
Food and Drink
เนื่องจากเที่ยวบินนี้ออกตอนเที่ยงคืน ขึ้นเครื่องมาก็เผลอหลับยาวไปจน skip meal แรกไปครับ เลยไม่ค่อยมีอาหารมารีวิวสักเท่าไหร่
ข้ามมาอีกทีคือได้ทานมื้อเดียวเลย (ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ 55) บินกับสายการบินญี่ปุ่น แน่นอนว่าก็เลือกเป็นอาหารญี่ปุ่น
แถมเมนูของเที่ยวบินนี้ให้ดูครับ คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ได้
Bed
พอเอนเบาะ ก็จะได้นอนราบ และที่นอนทางด้านหัว จะกว้างมากๆ ตัวเบาะค่อนข้างแข็ง แต่พอมีที่รองนอน ผ้าห่ม และหมอนที่ให้มา ก็นอนได้สบายทีเดียว ถ้าใครชอบเบาะแข็งหน่อยน่าจะติดใจ
Fleet
เที่ยวบินที่มีที่นั่ง the Room จะเป็นเครื่อง Boeing 777-300ER เท่าที่เชคดู (กันยายน 2022) มีเส้นทางดังนี้
Haneda – London
Haneda – New York JFK
Haneda – Los Angeles
บางวันจะมี
Haneda – Shanghai
Narita – Chicago
Narita – San Francisco
Narita – Los Angeles
เวลาจอง the Room ในหน้าเวบ ANA จะบอกไว้ทางด้านซ้ายครับว่าเที่ยวบินไหนเป็นที่นั่ง the Room ซึ่งทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นเยอะเลย ในภาพด้านล่างนี้เป็นภาพหน้า website ANA ตอนจองครับ
หรือดูใน seat map ถ้าเกิดเป็นที่นั่งแบบในภาพด้านบน หรือเป็นเครื่องที่มี business class 64 ที่นั่ง นั่นคือ the Room และเป็นเครื่องที่มี First Class แบบใหม่ด้วย (คงอีกนานกว่าจะหาที่นั่งมาได้รีวิว เพราะจองยากมาก) แต่ถ้าเป็นเครื่องที่มี business class 68 ที่นั่ง อันนี้คือที่นั่งแบบเก่าครับ เก่าทั้ง business และ first เลย
บทสรุป
ดีงามในทุกด้าน สมกับเป็น Top 3 Best Business Class 2022 จัดอันดับโดน Skytrax ถ้าจะเลือกบินกับ ANA แล้วมีเที่ยวบินที่เป็น Business ธรรมดา กับ the room ในราคาที่ใกล้เคียงกัน (เช่น Tokyo – Los Angeles) ขอให้เลือก the room ครับ
ปิดท้ายด้วยภาพตอนก่อนลงจากเครื่อง ถึงฮาเนดะพอดี
ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ