ผมตระเวณเก็บที่เที่ยวต่างๆในอเมริกาใต้มาราวๆสองปีแล้วครับ โบลิเวียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมอยากไปมากตั้งแต่เห็นภาพเงาสะท้อนบนทะเลเกลือกว้างสุดลูกหูลูกตา และก็เป็นทริปที่วางแผนการเดินทางแบบรัดกุมมากๆ เพราะการเดินทางในประเทศนี้สำหรับผมถือว่าค่อนข้างลำบากที่สุดเท่าที่ไปมา แต่จนสุดท้ายก็ไม่แคล้วมีปัญหาเกิดขึ้นร้อยแปดจนได้
รูปประกอบมาจากภาพกล้องมือถือผม DSLR ของผม และกล้องเนครับ และผมขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่า blog ตอนนี้มีความเห็นส่วนตัวผมเยอะพอสมควร
เป้าหมายในทริปนี้ของผมคือทะเลเกลือ Uyuni และที่ราบสูงด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในเขตทะเลทรายอาตาคามา (Atacama) และเทือกเขาแอนดีส (Andes) โดยผมจะเริ่มเดินทางจาก La Paz ไป Uyuni และผ่านออกไปทางเมือง San Pedro de Atacama
การเตรียมตัว
อันดับแรกเลย คือวีซ่าครับ พาสปอร์ตไทยสามารถเข้าหลายๆในประเทศในอเมริกาใต้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่โบลิเวียไม่เป็นเช่นนั้นครับ สำหรับวีซ่าเรามีสองทางเลือกคือ
หนึ่ง ไปขอ visa on arrival ซึ่งจะเสียค่าธรรมเนียม 35 USD แต่เพื่อนผมไปขอที่สนามบิน La Paz มันให้จ่ายเป็นสกุลเงินโบลิเวียครับ (boliviano) 5555 ร้านแลกเงินนั้นเป็นมุมเล็กๆ อยู่เลย baggage claim ไปแล้ว ถ้าจะแลกเงินต้องเดินผ่าน ตม. ไปก่อน แต่ตม.ที่นั่นชิวมาก บอกว่าให้เดินเข้าไปเลย แลกแล้วเดินกลับเข้ามา (ก็สนามบินมันเล็ก 55)
สอง ขอวีซ่าไปก่อน หากมาจากกรุงเทพ สถานกงศุลโบลิเวียที่ใกล้ที่สุดคือญี่ปุ่นครับ ฉะนั้นคงไม่ค่อยเหมาะแน่ถ้าเราจะถ่อไปญี่ปุ่นเพียงเพื่อจะขอวีซ่า คนไทยส่วนมากก็จะจัดทริปโบลิเวียรวมกับประเทศอื่นๆในอเมริกาใต้ และขอวีซ่าโบลิเวียจากประเทศแถวนี้เอา ซึ่งก็อาจจะใช้ระยะเวลา 1-2 วัน ขึ้นอยู่กับสถานทูตในเมืองนั้นๆ และวันหยุดราชการด้วย ถ้ามาจากทางเปรู (ไปเที่ยวมาชูปิกชูก่อน) ก็ขอได้ที่ Lima หรือเมือง Puno ซึ่ง route นี้มีคนทำเยอะแล้ว มีรีวิวในพันทิปมากพอสมควรครับ ถ้ามาจากทางชิลี (เข้าโบลิเวียผ่านทาง San Pedro de Atacam) ให้ขอจาก Santiago เลย และถ้าเข้าจาก Argentina ก็ขอจาก Buenos Aires ได้เช่นกัน (ติดตามได้จากรีวิวของพี่หมอเส baddoguy) หากเราขอวีซ่าไปก่อนนั้นจะไม่มีค่าใช้จ่ายครับ (free visa แต่ไม่ visa free นั่นเอง)
ผมเองนั้นขอจากสถานกงศุลโบลิเวียในแอลเอครับ โชคดีที่มีสถานกงศุลอยู่ไม่ไกล หากใครอยู่ในอเมริกาก็สามารถขอได้เลยครับ สามารถส่งเอกสารมาทางไปรษณีย์ได้หากอยู่ไกล และไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ตอนเข้าประเทศโบลิเวีย เจ้าหน้าที่ ตม. จะแนบฟอร์มที่เรากรอก แนบไว้กับพาสปอร์ต เก็บรักษาไว้ให้ดีนะครับ ผมแยกเก็บจากพาสปอร์ตไว้เลย กลัวหล่นหาย เพราะบางทีต้องยื่นพาสปอร์ตบ่อยๆ เช่น ตอนแลกเงิน หรือตอนเชคอินเข้าโรงแรม
สำหรับการเดินทาง ผมบินจากอเมริกาเข้าไปยัง La Paz ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักเดินทางแทบทุกคนก็ตั้งต้นจากที่นี่ อาจจะบินเข้ามา La Paz Airport (El Alto International Airport: LPB) โดยตรง หรือบางคนก็นั่งรถบัสมาจาก Puno ในเปรู
จาก La Paz Airport ไป Uyuni มีทางเลือกสองทางคือแบบประหยัด นั่งรถบัสไป รถบัสส่วนมากจะเป็นรอบกลางคืน วิ่งไปบนทางลูกรังราวๆ 8 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น และถึง Uyuni ตอนเช้า เท่าที่ผมดูมาส่วนมากคนจะใช้บริการของ Todo Turismo เป็นหลัก ค่าโดยสารประมาณ 30-40 USD จริงๆรถบัสมีอีกหลายเจ้า ของ Todo Turismo ที่นั่งอาจจะสบายกว่าหน่อย แต่สุดท้ายแล้วก็ทรมานเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะนั่งบริษัทไหนก็ต้องมาเผชิญชะตากรรมบนถนนลูกรังเหมือนกัน 555
ส่วนอีกทางเลือกนึงคือนั่งเครื่องบิน ซึ่งสบายกว่ามาก ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว แต่ค่าตั๋วก็จะปาเข้าไปราวๆ 170 USD สามารถจองได้จากเวบสายการบิน Amaszonas ซึ่งผมเองก็ออกตัวเลยว่าอย่าคาดหวังอะไรกับสายการบินแห่งนี้มากนักนะครับ สายการบินนี้มีบินตรง La Paz (LPB) ไป Uyuni (UYU) วันละ 2-3 รอบ เป็นเที่ยวเช้าสองรอบ เที่ยวเย็นอีกรอบ สายการบินนี้มีบินถึง Cusco ด้วยนะครับ
ตอนซื้อตั๋วทางอินเตอร์เนต ผมมีปัญหาเรื่องตัดบัตรเครดิตไม่ได้ ก็เลยไปซื้อตั๋วกับเอเย่นต์ Kanoo Tours แทนครับ เสียค่าบริการเพิ่มอีกนิดหน่อย
ค่าเงินในโบลิเวียตก 1 USD ได้ 7 โบลิเวียโน่ (BOB) เตรียมเป็นดอลล่าห์สหรัฐมาจะดีที่สุดครับ เท่าที่ผมดูมา ไม่ว่าจะเป็นที่สนามบิน La Paz หรือแม้แต่ที่ Uyuni แลกที่ไหนก็ได้เรทไม่ค่อยต่างกันมากนักครับ แต่ต้องบริหารจัดการเงินโบลิเวียให้ดีๆนะครับ คำนวณให้ดีว่าจะใช้เท่าไหร่ อย่าแลกมากเกิน ถ้าขาดก็ไปแลกเพิ่มที่ Uyuni ได้ เพราะถ้าเหลือแล้วจะแลกกลับได้ลำบากมาก ออกนอกโบลิเวียแล้วค่าจะตกไปมากๆ เหมือนเงินไม่มีค่าเลย แลกคืนไม่ได้ (ค่าเงินบาทไทยเราฟังดูดีกว่ากันเยอะครับ)
And the altitude sickness began…..
มาโบลิเวียนี้ก็คล้ายๆกับตอนไป cusco ครับ เราต้องเตรียมตัวรับสภาวะที่สูงด้วย เพราะในที่สูงๆนี้ออกซิเจนจะละลายในเลือดได้น้อยลง ทำให้เม็ดเลือดแดงจับกับออกซิเจนได้น้อยลง และทำให้เราขาดออกซิเจนได้ง่าย หายใจไม่ทัน เหนื่อยง่าย เป็นลม หรือมีอาการท้องเสียร่วมด้วย อาการพวกนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะเป็นมากหรือน้อย แม้คนที่ร่างกายแข็งแรง สมรรถภาพทางกีฬาดีเยี่ยม แต่อาจจะเป็น Altitude sickness หรือ AMS ได้มากกว่าคนทั่วไป ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ครับ หากไม่เคยมีประสบการณ์เคยไปที่สูงมาก่อน เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลย
วิธีที่ผมใช้กันก็คือกินยาชื่อ diamox ไปก่อนล่วงหน้าจะขึ้นที่สูง 2 วัน ยาจะช่วยลดอาการได้บ้าง แต่ผลข้างเคียงคือปลายนิ้วมือและเท้าชา และก็อาจจะทำให้ลิ้นมีรสขม แต่ยังไงก็ต้องพยายามเคลื่อนตัวช้าๆ ไม่รีบร้อน ไม่วิ่ง (ต่อให้ฟ้าระเบิดอยู่ตรงหน้า และเหลืออีก 200 เมตรจะถึงจุดถ่ายรูป ผมก็ไม่วิ่งครับ 5555)
ที่ La Paz airport นั้นสูงราวๆ 4100 เมตร ส่วน Uyuni 3700 เมตร แค่นี้ก็สูงกว่าทุกที่ในเมืองไทยแล้ว (ดอยอินทนนท์สูง 2565 เมตร) หากเข้าไปที่ทะเลทราย Atacama ตรงนั้นจะสูงกว่านี้อีกมาก จุดสูงสุดอยู่ราวๆ 5000 เมตร ถ้าเคลื่อนไหวเร็วๆนี่มีอ่วมแน่นอน ฮาๆ
พวกผมมั่นใจว่า ถ้าบอลโลกมาจัดที่โบลิเวียล่ะก็ แชมป์บอลโลกต้องตกเป็นของโบลิเวียแน่นอน 555555
แพลนของผมคร่าวๆมีดังนี้ครับ
ทริปทั้งหมดห้าวัน ตอนแรกแพลนจะอยู่โบลิเวียยาวตลอดห้าวันเลย แต่สุดท้ายไปๆมาๆกลัวว่าอาการ AMS จะหนัก ก็เลยมาแพลนสด จองโรงแรมแบบหลวมๆไว้ ดูอาการก่อน ถ้าอาการไม่หนักมากก็อยู่โบลิเวียนานหน่อย รวมๆแล้วอยู่โบลิเวียทั้งหมดสามวันครึ่ง นอน Colchani สองคืน และนอนในทะเลทรายอีกคืน และอีกคืนนอนที่ San Pedro de Atacama
ใน Uyuni นั้นผมเล็งจุดถ่ายรูปมาไว้ก่อนหน้าแล้ว ภาพที่ผมอยากได้คือกองเกลือ ซึ่งอยู่ในเมือง Colchani ที่อยู่ห่างจาก Uyuni ราวๆ 30 นาที และจุดถ่ายรูปในทะเลเกลืออื่นๆเช่น pattern ของเกลือ โรงแรมที่ทำจากเกลือ และจุดเงาสะท้อนยักษ์ ทั้งหมดก็ต้องตั้งต้นจาก Colchani ทั้งนั้นครับ
ผมก็อยากได้แสงเช้าและเย็น ครั้นจะนอนในเมือง Uyuni และจ้างทัวร์ออกมาทุกเช้าเย็นก็ดูจะลำบากไปสักหน่อย ทัวร์ส่วนมาก set มาให้นักท่องเที่ยวเป็นแพลนเสร็จสรรพแล้ว ส่วนมากออกเก้าโมงเช้า (สายไปมาก) และทัวร์ส่วนมากก็ไม่ค่อยเน้นออกตอนเช้า หรือกลับตอนมืดสักเท่าไหร่ ถ้าจะจ้าง taxi ก็คงจะเปลืองเวลาด้วย ผมเลยตัดสินใจจองโรงแรมเกลือที่อยู่ใน Colchani ชื่อ Hotel de Sal Cristal Samaña ไว้ 1 คืน (ราคาถูกสุดแล้ว จองจาก booking.com) ส่วนคืนที่สองค่อยมาตัดสินใจพักเอาทีหลังตอนมาเห็นสภาพโรงแรมก่อน โชคดีที่ช่วงที่ผมไปยังไม่ใช่หน้านักท่องเที่ยวครับ และโรงแรมก็เพิ่งเพิ่มตึกใหม่ มีห้องใหม่เพียบ โรงแรมก็เลยว่างไปซะ 80% หากโรงแรมนี้เต็มก็ยังมีตัวเลือกโรงแรมอื่นๆใกล้เคียงในเมือง Colchani อีกสองที่ นั่นคือ Hotel de Sal Luna Salada และ Hotel Palacio de Sal ครับ สำหรับที่ Cristal Samaña นี้รับเงินสดอย่างเดียว ค่าห้องตั้งต้นที่คืนละ $92 ก็ถือว่าแพงสักหน่อย อาการการกินก็ต้องทานที่โรงแรมเท่านั้น (จ่ายเพิ่ม) รอบๆไม่มีร้านอาหารเลย แต่แลกเอาความสะดวกที่สามารถเดินไปถ่ายทะเลเกลือเมื่อไหร่ก็ได้ จะถ่ายแสงเช้า แสงเย็น หรือจะถ่ายดาว ทำได้หมด หรือเวลาเหนื่อยๆช่วงกลางวันก็กลับมานอนพักที่โรงแรมได้ โดยรวมแล้วผมก็ประทับใจโรงแรมนี้นะครับ บริการดี และตัวโรงแรมสวยมาก ผนังห้องโรงแรมทำมาจากเกลือจริงๆ ฐานเตียงก็เป็นเกลือ (แต่ที่นอนไม่ใช่เกลือนะครับ 555)
หากใครพักที่ Uyuni ก็มีตัวเลือกโรงแรมมากมายหลายระดับหลายราคา จองล่วงหน้าทาง booking.com ได้ หรือจะเดินหาเอาก็ยังได้ ตัวเมืองค่อนข้างคึกคักเพราะมีนักท่องเที่ยวตลอด ขาดเหลืออะไรก็สามารถหาได้ที่นี่ทั้งหมดครับ (ยกเว้น diamox ที่ต้องเตรียมมาให้พร้อมก่อน) รอบๆ Uyuni จะมีโรงแรมอีกเครือนึงชื่อ Tayka ซึ่งเป็นแบรนด์โรงแรมที่หรูที่สุดในแถบนี้ หากใครอยากนอนสบายๆก็แนะนำที่นี่เลยครับ ราคาก็กระเป๋าแฟบนิดนึง
ทัวร์
ตัวเลือกทัวร์ทะเลทรายมีให้เลือกเยอะครับ สามารถเดินหาในเมือง Uyuni ได้เลย ทัวร์ส่วนมากก็มารอรับนักท่องเที่ยวที่ลงจากรถบัสอยู่แล้ว เรียกได้ว่ามาถึงสักเจ็ดโมงเช้า หาทัวร์ไม่นาน ทัวร์ก็พร้อมออกตอนเก้าโมงได้เลย มีทั้งทัวร์ดูแค่ทะเลเกลือ (Salar de Uyuni) เฉยๆแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือทัวร์แบบหลายวันโดยใช้รถ 4WD วนรอบ Uyuni และผ่านทะเลสาบหลากสีต่างๆในบริเวณทะเลทราย Atacama แล้วทัวร์หลายวันนี้ก็ยังมีตัวเลือกว่าจะวนกลับมาที่ Uyuni หรือจะเที่ยวแบบ one-way ให้ส่งข้ามแดนต่อไปชิลี (ต้องซื้อตั๋วรถบัส transfer จากพรมแดนเข้าเมือง San Pedro เพิ่มเติม) โดยที่ราคาแบบ one-way หรือวนกลับมา Uyuni จะไม่ต่างกันมากครับ เพราะยังไงรถ 4WD ก็ต้องวกกลับมาที่ Uyuni อยู่ดี ทัวร์ทะเลทรายนี้จะมีทั้งแบบ 2 วันหนึ่งคืน หรือ 3 วัน 2 คืน ขึ้นอยู่กับความแน่นของโปรแกรม และเส้นทางที่จะวิ่งครับ
หากใครตั้งต้นจากฝั่งชิลี ก็สามารถติดต่อหาทัวร์จากเมือง San Pedro de Atacama ได้ แต่ราคาโดยรวมจะแพงกว่าจาก Uyuni เพราะประเทศโบลิเวียบังคับว่าทัวร์ในโบลิเวีย ทั้งไกด์และคนขับรถ จะต้องดำเนินการโดยคนโบลิเวียเท่านั้น ฉะนั้นบริษัทจากฝั่งชิลี จะต้องส่งไม้ต่อมาให้ทัวร์บริษัททางโบลิเวียอีกที ผมเลยเลือกตั้งต้นจาก Uyuni ดีกว่า เพราะได้เลือกดูบริษัทที่เราจะนั่งทัวร์ไปจริงๆ และได้เห็นสภาพรถ คุยรายละเอียดได้มากขึ้น และเห็นหน้าค่าตาคนขับรถด้วย คนขับรถนี่สำคัญมากๆ เพราะเค้าจะอยู่กับเราไปตลอดทริปครับ ผมซวยหน่อยที่ไม่มีไกด์พูดภาษาอังกฤษไป (ถ้ามีก็จ่ายแพงมาก) ส่วนมากคนขับรถพูดได้แต่สเปน ก็เน้นภาษาใบกันไปครับ คุยไม่รู้เรื่องซะ 99% เพื่อนผมที่ไปก่อนหน้านี้โชคไม่ดีมากๆ โดนคนขับรถทิ้งกลางทาง เสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ ต้องติดต่อบริษัททัวร์ให้ส่งรถมาอีกคัน กรณีแบบนี้ก็อาจจะเกิดจากการที่บริษัททัวร์รับเราแล้วไปขายต่อให้บริษัทอื่นครับ หรือไม่ก็ฝากไปกับคนขับรถของบริษัทอื่น บางทีทัวร์ขายได้ไม่เต็ม เราก็ไม่รู้อิโหน่อีเหน่ โดนฝากๆไปกับบริษัทอื่นให้ครบจำนวนคนในรถ ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆและมีชื่อเสียง (ราคาก็จะแพงหน่อย) จะไม่ค่อยมีปัญหานี้ครับ
หากเรามีจำนวนคนสัก 4-5 คนแล้วกำชับว่าจะเอาเป็น private tour ก็จะดีกว่ามาก เพราะมั่นใจว่ามีแค่กลุ่มเราแน่ๆ และจำนวน 4 คนก็นั่งรถกำลังดี ไม่แน่นเกินไป กลุ่มผมมี 7 คน ยัดกันไปหน้า 1 กลาง 3 หลัง 3 เรียกว่านั่งกันหลังขดหลังแข็ง และไม่สบายตัวเอามากๆ จริงๆผมก็แพลนไว้ว่าอยากได้รถสองคัน แต่ราคาที่บริษัท quote มามันแพงกว่ามาก ตอนนั้นผมอยู่โรงแรมที่ Colchani จะติดต่อกับบริษัททัวร์ที่ Uyuni ก็ทำได้ลำบากครับ นี่ก็เป็นข้อเสียอย่างนึงของการอยู่ที่ Colchani หากจะอยู่ที่นี่ก็ให้คุยเรื่องทัวร์ให้เรียบร้อยตั้งแต่มาถึง Uyuni เลย
รับน้อง
มาถึง La Paz ทางกลุ่มผมก็เจอรับน้องก่อนเลยครับ เรามาถึง La Paz ตอนดึกของคืนวันศุกร์ และเตรียมออกเดินทางไป Uyuni เช้าวันเสาร์ ที่แพลนไฟลท์อย่างนี้เพราะผมดูล่วงหน้ามาว่าวันอาทิตย์ไม่มีไฟลท์ครับ เคราะห์แรกมาถึงว่ามีเพื่อนคนนึงตกเครื่อง Amaszonas ที่จะไป Uyuni นี่แหละครับ Gate ของสายการบินนี้ปิดเร็วมากๆ ราวๆ 20 นาทีก่อนเวลาเครื่องออก ผมเพิ่งมารู้สาเหตุที่ปิดเร็วก็ตอนเดินไปขึ้นเครื่องนี่ล่ะครับ เพราะเป็น bus gate คือไม่ได้ขึนเครื่องที่เกตเลย ตัวเครื่องจอดอยู่เลยออกไปไกล แต่ bus gate ที่นี่ไม่มีรถบัสนะครับ เดินเอาครับพี่น้อง เดินเกือบ 800 เมตรไปขึ้นเครื่อง แบกกระเป๋า carry on ด้วย ท่ามกลางความสูง 4300 เมตรนี่มันไม่สนุกเลย เจ้าหน้าที่ก็เร่งเอาๆ ถ้าใครมาช้าแล้วต้องวิ่ง ผมว่าเผลอๆจะเป็นลมเอากลางทางเสียก่อนนะนี่
พอเพื่อนตกเครื่อง ก็หาไฟลท์บินต่อไปไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าเครื่องเต็มหมด แม้แต่ไฟลท์ที่ผมบินก็เต็ม ไฟลท์รอบเย็นก็เต็ม ได้ standby อีกทีคือไลฟท์เช้าวันจันทร์ นั่นแปลว่าถ้ารอแกร่วที่ La Paz จนถึงวันจันทร์จะเหลือเที่ยว Uyuni น้อยมาก ผมมารู้ทีหลังว่าเหตุผลที่ไม่มีไฟลท์วันอาทิตย์นั่นเป็นเพราะว่ามันคือวันเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศโบลิเวียครับพีน้องครับ วันที่ 29 มีนาคมเลยครับ วันเลือกตั้งนี้ ทุกอย่างปิดทำการหมด ร้านค้า บริษัททัวร์ สายการบิน รวมไปถึงรถบัสจาก La Paz ไป Uyuni ก็งดวิ่งด้วย นโยบายนี้เพื่อกันให้คนไม่ไปทำอย่างอื่น และไปเลือกตั้งกันเยอะๆ ผมนี่แบบ เฮ้ยยยยย มากไปมั้ยยยยยย ใครจะไปรู้ฟร้าาาาาา
พวกผม 6 คนที่เหลือมาถึงสนามบิน Uyuni กันแบบเครียดๆ เพราะเพื่อนอีกคนติดอยู่ที่ Uyuni และยังหาวิธีการเดินทางมาไม่ได้ ติดต่อคุยกันลำบากมากพราะไม่มีโทรศัพท์ ผมก็ตั้งใจว่าพอเข้าเมืองแล้วจะตรงไปที่บริษัท Todo Turismo ก่อนเพื่อติดต่อซื้อตั๋วให้เพื่อนผม พอไปถึง ระหว่างรอบริษัทเปิดก็แบ่งกลุ่มกันไปซื้อของ หาทัวร์ และอยู่ๆก็มีบุคคลนิรนามชื่อ Paul พูดภาษาอังกฤษคล่องมาก คล่องขนาดที่ว่าผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่คนโบลิเวียแน่ๆ เพราะสไตล์มันอเมริกันมากๆ คุยไปคุยมา มันบอกว่าโตที่แอลเอครับ ฮาาา โลกกลมเลย โชคดีที่ Paul แจ้งให้ผมทราบว่าวันอาทิตย์นี้เป็นวันเลือกตั้ง และเขายังให้ผมใช้เนตจากมือถือของเค้าเพื่อติดต่อกับเพื่อนผม เขาช่วยติดต่อกับบริษัทรถที่รู้จักกันเพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์มา Uyuni แจงวิธีการเดินทางให้อย่างละเอียดเรียบร้อย และบอกอีกว่าคืนนั้นจะมารับ และพาไปส่งโรงแรม Cristal Samaña ให้ (มีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย) เรียกได้ว่าผมโคตรโชคไม่ดีเลยที่มาตรงจังหวะวันเลือกตั้งพอดี (ขอบ่นอีกที มันเหนือความคาดหมายมาก 55555) จากปกติรถทัวร์มา Uyuni จะวิ่งตอนกลางคืน และจะออกจาก La Paz ในช่วงเย็น แต่หลังจากเที่ยงคืนวันอาทิตย์ ถือว่าเป็นวันเลือกตั้ง รถทัวร์ก็จะไม่ออกจาก La Paz เย็นวันเสาร์ แต่จะออกเช้าวันเสาร์แล้วมาถึง Uyuni ช่วงดึกของวันเสาร์แทน ผมนี่ร้อง เหยดดดดด นี่ถ้าเช้านั้นไม่เจอพอล เพื่อนผมคนนี้คงลำบากมากๆๆๆๆๆ เพราะถ้ามัวงงๆอยู่ที่สนามบิน และนอนใจจนถึงตอนสายๆค่อยไปจองตั๋วรถบัสในเมือง La Paz นอกจากตกเครื่องบินแล้ว ก็คงตกรถอีกรอบแน่ๆ รถจะไม่วิ่งจนกว่าจะเย็นวันอาทิตย์ ซึ่งอยู่พ้นช่วงเวลาเลือกตั้งแล้ว (บริษัททัวร์ออกบริการเย็นวันอาทิตย์ได้)
Paul ช่วยพวกผมไว้หลายอย่างมากๆในเช้าวันนั้น นั่นทำให้ผมซาบซึ้งพระคุณพี่พอลเป็นอย่างมาก 😀 ผมก็เลยตอบแทนโดยการอุดหนุนทัวร์ของมัน 1 วันแล้วกัน เขาก็จัด 4WD พาพวกผม 6 คนเที่ยวรอบ Uyuni และพาไปถ่าย reflection ยักษ์ ด้วยความที่คุยภาษาอังกฤษ สื่อสารกันรู้เรื่อง ก็ทำให้งานง่ายขึ้นมากครับ อยากจอดตรงไหนจอดได้ อยากอยู่ถึงแสงเย็นก็ได้
พอติดวันเลือกตั้งหนึ่งวัน วันอาทิตย์พวกผมเลยแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากถ่ายแสงเช้า นอนพักที่โรงแรม และก็ถ่ายแสงเย็น โชคดีที่โรงแรมไม่ค่อยมีลูกค้า เลยได้นอนเต็มอิ่มสองวัน และพอลก็ช่วยติดต่อร่างแพลนเที่ยวทะเลทรายให้ แต่ราคาที่เขาเสนอมาสำหรับรถสองคันค่อนข้างแพง ผมเองก็ถามทางโรงแรมให้หาทัวร์ให้ ได้ราคาไม่ต่างกัน ตอนนั้นด้วยความที่นอนอยู่ Colchani ก็ติดต่อทัวร์อื่นลำบากแล้ว ยังติดวันเลือกตั้ง บริษัททัวร์ปิดอีก ผมเลยตัดสินใจใช้บริการของพอลซะเลย (ถ้ามีตัวเลือกมากกว่านี้ผมก็ไม่แนะนำเท่าไหร่ครับ) ทนอัดในรถ Jeep เจ็ดคน โดยรวมออกมาแล้วก็ทุลักทุเลมากๆ ทำให้ทัวร์ทะเลทรายของผมไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่นัก
ทะเลเกลือ
location หลักๆสำหรับทะเลเกลือ Salar de Uyuni จะมี 4 จุดคือ
- Colchani คือจุดตั้งต้น อยู่ริมทะเลเกลือ ตัว Colchani เองเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีอุตสาหกรรมผลิตเกลือ ชาวบ้านก็จะโกยเกลือและทำให้แห้ง เหมือนนาเกลือบ้านเรานี่แหละครับ แต่กองเกลือที่นี่จะไม่ค่อยขาวสักเท่าไหร่เพราะมีรถจี๊บและนักท่องเที่ยววิ่งผ่านไปมาเยอะ ก็พาดินแดงๆจากบริเวณรอบๆทำให้เกลือไม่ขาวมาก
- Salt Hotel ตรงนี้เรียกว่าเป็นศูนย์กลางของ Salar de Uyuni ก็ว่าได้ เป็นจุดที่จะเห็นธงปักเยอะๆครับ ส่วนมากทัวร์จะพามาทานอาหารเที่ยงที่นี่ ตัวโรงแรมผมว่า Cristal Samaña สวยกว่า
- Isla del Pescado หรือเรียกง่ายๆว่า Fish Island เหลือเกาะปลา อยู่ไกลออกไปทางตะวันตกจาก Salt Hotel ซึ่งถ้าในหน้ามรสุมช่วงเดือนมกราและกุมภา ทัวร์อาจจะไม่พาไป เพราะทะเลเกลือมันเปียกจนรถจิ๊บไปไม่ถึงครับ ที่นี่มีตะบองเพชรเยอะ ผมเองไม่มีเวลาไป เสียดายเหมือนกัน แต่ตะบองเพชรก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของผมสักเท่าไหร่
- Reflection จุดเงาสะท้อนนี้อาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆขึ้นอยู่กับว่าน้ำขังตรงไหนในช่วงเวลาไหน ช่วงที่ผมไปนี้จุดเงาสะท้อนจะอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลเกลือ ใกล้ๆกับ Uyuni ครับ รอบแรกที่มาถ่ายแสงเย็น ลมพัดแรง น้ำไม่ค่อยนิ่ง เลยไม่ได้ภาพเท่าไหร่ ผมเลย request ขอพอลให้พามาอีกรอบในตอนเช้า ก่อนออกไปทะเลทราย Atacama ซึ่งก็ทำให้ความฟินของผมพุ่งเต็มพิกัดเลยทีเดียว นี่ถ้าได้ฟ้าระเบิดสวยๆนี่คงนอนตายตาหลับแล้ว 5555 จุดเงาสะท้อนนี้ถ้ามาหลังจากเดือนมีนาคมจะไม่มีให้เห็นแล้วเพราะน้ำจะแห้งมาก ฉะนั้นช่วงที่นักท่องเที่ยวมากันมากๆในเดือนกรกฏาคม จะเห็นแต่เกลือขาวๆอย่างเดียว ท้องฟ้าก็จะใสโล่งมากๆ ผมว่าเดือนกุมภาและมีนาคมเป็นเดือนที่เหมาะสม เพราะได้เห็น reflection สมใจ และโอกาสที่ได้ฟ้าสวยๆมีมากกว่าด้วย
- Salt Polygon หรือลายของพื้นเกลือ จุดนี้ไกด์จะรู้ดีที่สุดว่าอยู่ตรงไหนครับ เพราะจุดที่สวยๆอาจจะเปลี่ยนไปตลอดทุกปี ถ้าได้ถ่ายแสงเย็นที่นี่คงฟินมากทีเดียว จุดที่ผมถ่ายอยู่ไม่ไกลจาก Salt Hotel ครับ ขับไปทางเหนือประมาณ 15 นาที
- ทะเลเกลือโล่งๆ ไกด์พาพวกผมไปถ่ายรูป surreal กันที่นี่ครับ อยู่ทางตอนเหนือของโรงแรมเช่นกัน จริงๆมันก็เป็นแค่จุดที่เห็นสีขาวรอบๆสุดลูกหูลูกตา ไม่มีภูเขาล้อมรอบ เพราะจะสามารถถ่ายภาพแปลกๆ เช่น คนกับไดโนเสาร์ โดยที่ถ่ายติดแต่พื้น และท้องฟ้าเท่านั้น ใครมีมุขอะไรก็งัดออกมากันเต็มที่เลย ต้องคิดเตรียมพร๊อพเผื่อไว้ด้วยนะครับ 🙂
- กองเกลือ นอกจาก Colchani แล้ว หากขับมาทางตอนใต้ของเมืองก็จะมีกองเกลืออีกจุดนึงที่ขาวและสวยกว่า นอกจากนี้ยังมีน้ำขังเยอะกว่า ถ้ามีโอกาสลองให้ไกด์พามาดูครับ
ที่ราบสูงแห่งทะเลทราย Atacama (Bolivia Altiplano)
เส้นทางในทะเลทราย Atacama และทะเลสาบหรือ Lagoon หลากสีของผมตั้งต้นจาก Uyuni แวะสุสานรถไฟที่อยู่ใกล้ๆเมือง แวะแบบรีบๆ และตีรถออกไปทางถนนหมายเลข 5 และต่อ 701 ผ่านเมือง San Cristóbal ที่นี่เป็นความเจริญสุดท้ายที่ผมจะเห็นแล้วครับ 5555 สามารถดูเส้นทางได้ในแผนที่ด้านล่าง
เป้าหมายแรกของเราคือจุดชมวิวภูเขาไฟ Volcán Ollagüe เขียนว่า Mirador Volcán Ollagüe ในแผนที่ Mirador แปลว่าจุดชมวิวครับ พิกัดอยู่ประมาณ -21.388956, -68.001140 สามารถซูมใน google maps ได้นะครับ ผมทึ่งมากๆที่ google มีภาพถ่ายดาวเทียมใน middle of nowhere ของโบลิเวียแบบละเอียดสุดๆๆๆ จุดชมวิว Mirador Volcán Ollagüeนี้ก็เห็นแบบไกลๆ มีควันอยู่ที่ยอดเล็กน้อย ไม่ได้ประทับใจอะไรมาก เราก็แวะกันแบบเร็วๆ เพราะเป้าหมายหลักอยู่ที่ lagoon หลากสีทั้งหลาย จากตรงนี้ถนนเดิมที่เป็นลูกรัง เราแยกเข้าถนนเล็กๆ ที่ผมไม่รู้จะเรียกว่าถนนดีหรือเปล่า เพราะมันไม่มีถนนเลย เหมือนกับเป็นรอยล้อรถ 4WD คันก่อนๆที่วิ่งกันมากมาย จนมันกลายเป็นถนน มาถึงตรงนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงได้ใช้ 4WD อย่างเดียว และไม่สามารถขับรถมาเองได้ ต้องจ่ายไกด์เท่านั้น เพราะทางมันไม่มีเลย 555 ถ้าไม่ใช่คนขับรถที่เชี่ยวชาญภูมิประเทศแล้ว ผมการันตีเลยว่า ต่อให้มีแผนที่ก็หลงแน่นอน เพราะคนขับรถเขาใช้ภูเขาต่างๆเป็นตัวนำทางครับ ถนนที่ไม่เรียกว่าถนนนี้ขับไปฝุ่นก็ตลบไป ผมมั่นใจว่าเพียงแค่ชั่วโมงเดียวผมก็รู้สึกได้ถึงฝุ่นเต็มสองรูจมูกแล้ว 55
เราผ่าน Laguna หลายๆอัน โดยที่แวะ Laguna Canapa และ Laguna Hedionda (พิกัด -21.575788, -68.040866) เป็นเป้าหมายหลัก ที่ Hedionda นี้มีนกฟลามิงโกฝูงเล็กๆให้ถ่ายด้วยครับ landscape แถวนี้จะเริ่มเปลี่ยนไปจนรู้สึกแปลกตา ไม่มีต้นไม้เลย มีแต่ภูเขาที่มีหิมะปกคลุมที่ยอดเล็กน้อย และทะเลสาบสีสวยๆ สีเขียวบ้าง ฟ้าบ้าง แดงบ้าง เหมือนอยู่อีกโลกนึงเลยทีเดียว
ระหว่างทางก็แวะถ่ายหินรูปร่างแปลกตาที่ชื่อ Árbol de Piedra ซึ่งโดนการกัดเซาะจากลมเป็นเวลานาน (พิกัด -22.051981, -67.883326)
ไฮไลต์ของวันอยู่ที่ Laguna Colorada ซึ่งเป็นทะเลสาบสีแดง สีแดงนั้นจะมาจากแบคทีเรียครับ ไกด์บอกว่าถ้าจะเห็นสีแดงสวยๆต้องมาช่วงที่มีแดดเท่านั้น ถ้าหลังสี่โมงเย็นแดดจะเริ่มหายไปเพราะพระอาทิตย์เริ่มลับหลังเขา นั่นเลยเป็นเหตุผลหลักที่เราซิ่งกันมาก และแวะถ่ายจุดอื่นๆกันแบบผ่านๆพอสมควร และ Laguna Colorada ก็สวยสมคำร่ำลือ มีนกฟลามิงโกเยอะมากๆๆๆๆๆ จุดชมวิวจะมีสองจุด คือทางด้านเหนือ (พิกัด -22.170340, -67.804723) ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยาน (เสียค่าเข้าเพิ่มจากทัวร์) และทางด้านใต้ ถ้าอยากถ่ายฟลามิงโกใกล้ๆให้มาทางด้านใต้ครับ (พิกัด -22.212860, -67.799123) เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่เลย ผมถ่ายอยู่ทางด้านเหนือราวๆ 30 นาทีเอง เพราะว่าเดินเข้าไปใกล้มากไม่ได้ เจ้าหน้าที่จะไล่ตลอดเวลา แต่ทางด้านใต้จะสงบเงียบกว่า แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แต่กว่าจะสื่อสารกับคนขับรถ บอกว่าอยากไปด้านใต้ นี่ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน 555 เราถ่ายกันจนแสงสุดท้ายของวันลับเขาไป และคนขับรถก็เร่งให้ขึ้นรถตลอดเวลา 5555 อย่างว่าแหละครับ ตากล้องเจ็ดชีวิต ยังไงก็ไม่มีทางวางมือจนกว่าแสงสุดท้ายจะหมดลงอยู่แล้ว
เราพักกันที่ Laguna Colorada ที่นี่จะมีที่พักอยู่สองที่ครับ แบบนึงเป็นแบบ basic มากๆ และไม่ค่อยดีนัก อยู่ใกล้กับที่ทำการอุทยาน (พิกัด -22.174910, -67.819326) ส่วนอีกที่นึงจะดูดีขึ้นมาหน่อย แต่สภาพก็ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับโรงแรมเลย ผมจำชื่อที่พักไม่ได้ พิกัดอยู่ประมาณ (-22.263972, -67.815858)
เช้าวันสุดท้ายในโบลิเวีย ทริปเราก็เร่งกันอีกครั้ง เราตื่นมาถ่ายดาวกันตอนตีสาม ถ่ายกันสองชั่วโมงได้ ออกอีกทีตอนตีห้าเพื่อไปถ่ายแสงเช้าที่น้ำพุร้อน Sol de Mañana ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ Laguna Colorada โดยทางตอนใต้ทั้งหมดนี้แทบจะเป็นบริเวณแนวภูเขาไฟที่ยังครุกรุ่นอยู่ มีทั้งบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน รวมไปถึงการสร้างโรงไฟฟ้าด้วย (ถ้าผมอ่านป้ายไม่ผิด) จริงๆแล้วน้ำพุร้อน Sol de Mañana ที่นี่มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าที่ดังๆในนิวซีแลนด์หรืออเมริกา แต่เพราะว่าที่นี่คือดินแดนห่างไกลในโบลิเวีย สถานที่ท่องเที่ยวยังไม่ได้รับการพัฒนา น้ำพุร้อนที่นี่จะไม่มีทางเดิน คุณสามารถเดินเข้าไปใกล้บ่อโคลนเดือดแบบห่างแค่ไม่ถึงเมตรก็ยังได้ครับ ซึ่งมันทำให้ผมตื่นเต้นมาก คือตื่นเต้นว่ากลัวมันจะระเบิดใส่หน้านะครับ 5555 นักท่องเที่ยวต้องดูแลความปลอดภัยกันเอง ทางเดินแคบเลาะๆไปตามบ่อน้ำพุร้อนก็ไร้รั้วกั้นใดๆ ซ้ายก็ร้อน ขวาก็ร้อน นี่ถ้าผมมาหน้าร้อนคงร้อน 360 องศาเลยทีเดียว ยังดีที่เช้าวันนั้นอากาศเกือบๆศูนย์องศา พอมีไอร้อนจากน้ำพุร้อน บรรยากาศก็เลยไม่หนาวเกินไป และก็ดูเป็นการเดินชมน้ำพุร้อนที่ท้าทายชีวิตมากๆครับ 5555
หลังจากนี้ทัวร์จะพาไปแวะบ่อน้ำร้อนเล็กๆที่อยู่ริมถนน ฝรั่งหลายคนก็ดูสนุสนานกับการแช่น้ำร้อน แต่พวกผมก็ขอผ่าน อยากไปเห็น Laguna Verde (green lagoon) ซึ่งเป็น Laguna สุดท้ายก่อนถึงพรมแดนข้ามไปยังชิลี (จุดผ่านแดนเรียกว่า Hito Cajon) ผมเคยเห็นภาพของ Laguna Verde มาก่อนหน้า และมันสวยมากๆ มันเป็นทะเลสาบสีเขียว ด้านหลังเป็นภูเขาไฟชื่อ Licancabur กับภูเขาอีกลูกนึงที่ผมจำไม่ได้ รูปร่างสามเหลี่ยมเหมือนกับภูเขาไฟฟูจิแฟดเลยทีเดียว แต่พอมาถึงก็ค่อนข้างผิดหวังครับ น้ำในทะเลสาบ Laguna Verde ไม่ได้สวยเหมือนก่อนแล้ว เพราะทะเลสาบแห้งลงไปมาก Laguna Blanca (white lagoon) ที่อยู่ติดๆกันก็ไม่ค่อยสวยเหมือนกัน ไกด์บอกว่าผมมาเช้าเกินไป ถ้ามาช่วงใกล้เที่ยงจะเห็นสีสวยกว่านี้เพราะพระอาทิตย์ทำมุมพอดี แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้รอถึงตอนนั้น เพราะว่ารถ Shuttle Bus จากพรมแดนไปที่ San Pedro จะออกเวลาเก้าโมงเช้า ซึ่งก็เช้ามากๆ (เวลาชิลีสิบโมงเช้า เร็วกว่าโบลิเวียหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆที่ชีลีอยู่ทางตะวันตกมากกว่า อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน 555)
เพิ่มเติมเล็กน้อย Atacama ที่นี่เป็นบริเวณที่ฝนตกน้อยมากๆ เรียกได้ว่าน้อยเกือบที่สุดของโลกเลย ทำให้ความชื้นต่ำมากๆ จนทะเลทราย Atacama เป็นที่ตั้งของหอดูดาวและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์หลายอย่าง เพราะท้องฟ้าเคลียร์มากๆนั่นเอง และที่โบลิเวียนี้ผมก็เห็นดาวที่สวยที่สุด และเยอะที่สุดในชีวิตเลยครับ แต่ด้วยอากาศที่แห้งนี้ ปากแตกตลอดเวลา ผิวแตกด้วยครับ 555
การข้ามแดนไม่มีขั้นตอนอะไรมากมายครับ คนไทยเราเข้าประเทศชิลีได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าอยู่แล้ว สามารถถือพาสปอร์ตเข้าได้เลย ตรง Hito Cajon นี้จะเป็นจุดปั้มออกจากโบลิเวีย ตอนเราเข้าโบลิเวีย เจ้าหน้าที่จะแนบกระดาษแผ่นนึงในพาสปอร์ตไว้ อย่าทำหายนะครับ เพราะตอนออกต้องใช้ด้วย (การเข้าออกประเทศเปรูก็เป็นแบบนี้) จาก Hito Cajon เราก็ลงเขายาวไปถึง San Pedro de Atacama เลยครับ ตม. ฝั่งชิลีจะอยู่ในเมืองเลย และ shuttle bus ก็จะแวะรับเรา และพาเข้าไปส่งในเมือง แต่ไม่ได้เข้ากลางเมืองนะครับ เพราะเมืองนี้จำกัดรถที่เข้าด้านในครับ รถจะจอดตรงจุดจอดรถใหญ่ๆด้านนอก (พิกัด -22.909874, -68.198220 อยู่ทางตะวันออกของกลางเมือง) ต้องแบกสัมภาระไปโรงแรมกันเองตามมีตามเกิด ผมก็พลาดเองที่จองโรงแรมไว้ที่ Hotel Takha Takha ดันอยู่อีกมุมนึงของเมือง เลยเดินกันไกลเลย
ก่อนเราจะออกจากโบลิเวียนี้ ก็จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ลาคนขับรถที่ช่วยเรามาตลอดสองวัน และอย่าลืมให้ทิปคนขับรถด้วยนะครับ เพราะคนเหล่านี้ได้ค่าจ้างน้อยมากๆ (บริษัททัวร์ก็กดค่าจ้างอีกที) เพื่อเป็นกำลังใจครับ ยังไงเงินโบลิเวียที่เรามีอยู่ เมื่อเข้าชิลีก็จะไร้ความหมายครับ ผมถามร้านแลกเงินหลายๆร้านใน San Pedro ไม่มีใครรับเงินโบลิเวียเลย ผมมีเท่าไหร่ผมก็จะให้ทิปคนขับรถไปเกือบหมดครับ
พอได้เข้าชิลีเท่านั้นแหละครับ เหมือนเราได้กลับสู่ความเจริญ 5555 ที่ San Pedro นั้นความสูงแค่ 2300 เมตร เราลงเขายาวมาจากพรมแดนที่ 4500 เมตร อาการ AMS ก็หายไปทันที รู้สึกสบายขึ้นทันตา ฝั่งชิลีนี้ผู้คนน่ารัก อาหารก็อร่อยมาก บ้านเมืองดูเจริญ อินเตอร์เนตเร็วขึ้นทันตาเห็น โดยเฉพาะเรื่องอาหารนี่เป็นปัจจัยหลักเลยที่ผมชอบชีลีมากกว่ามากๆ อาหารที่นี่เมื่อเทียบกับโบลิเวียแล้วมันคนละเรื่องเลย ผมพยายามลองหาอาหารพื้นเมืองของโบลิเวียแล้วแต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น ร้านอาหารที่นั่นก็ขายอาหารแบบอย่างตะวันตก มีพิซซ่า เนื้อผัด มันฝรั่ง ขนมปังปิ้ง หรือผมเองที่ยังไม่สามารถหาอาหารโบลิเวียอร่อยๆกินได้ก็ไม่รู้ครับ 555 ขนาดอาหารที่โรงแรมCristal Samaña ผมรู้สึกว่าผมกินมาม่าหมูสับของไทยยังอร่อยกว่า
แต่อาหารที่ชิลีนี่อร่อยจริงๆ เพื่อนๆทุกคนในทริปเห็นพ้องต้องกันโดยมิได้นัดหมาย ผมเอาหน้าตามาให้ดูกันเลยว่ามัน wow ขนาดไหน ดูน่ากินขนาดไหน (ภาพอาหารจากโบลิเวียไม่มีนะครับ ไม่ได้คิดแม้จะถ่ายไว้ 555)
ที่ San Pedro de Atacama ผมไปทัวร์สั้นๆสองอันครับ อันแรกเป็นทัวร์ดาราศาสตร์ ไปเย็นวันนั้นเลยแต่ไม่ได้ไป Spaceobs อันที่ดีที่สุดนะครับ เพราะว่ามันใกล้คืนพระจันทร์เต็มดวง (full moon) เค้าเลยหยุด ไม่เปิดให้บริการ ส่วนเช้าวันถัดมาก็ออกกันตั้งแต่ตีสี่ไปถ่ายแสงเช้าที่ El Tatio Geyser กัน โดยรวมแล้วก็ประทับใจทั้งสองอย่างนะครับ
ใน San Pedro มีตู้ ATM อยู่ที่นึง เขาว่ากันว่าที่นี่เงินสดหมดบ่อยมากๆ เรียกได้ว่าเป็น crisis ของที่นี่เลย ควรเตรียมเงิน USD มาให้พร้อมตั้งแต่ก่อนมาเลยนะครับ เผื่อกรณีฉุกเฉินด้วย
สรุปกันง่ายๆกับทริปโบลิเวียครับ
วิวสวย แปลกตา อลังการ กันดาร อากาศแห้ง ฝุ่นเยอะ ออกซิเจนน้อย เหนื่อยง่าย อาหารไม่อร่อย และหาคนพูดภาษาอังกฤษยากมาก ถ้าไม่ใช่ไกด์
สำหรับผม โบลิเวีย สักครั้งหนึ่งในชีวิต ไปให้รู้ ได้สัมผัสบรรยากาศ เห็น landscape แปลกใหม่ แต่ครั้งเดียวพอนะ ฮ่าๆๆๆๆ