วันนี้มาแหวกแนวหน่อย ผมจะมารีวิวตัวควบคุมแอร์ในบ้านครับ blog ตอนนี้จะเป็นรีวิวสั้นๆ เพราะมันใช้ง่ายสุดๆ ไม่มีอะไรให้ติเลย เลยเป็น mini review
และอุปกรณ์ตัวนี้ก็คือ Sensibo Sky นั่นเอง
สั่งซื้อจาก https://sensibo.com/ ส่วนผมเองซื้อต่อจากพี่เอ็กซ์ หนุ่มเชียงราย ซึ่งพี่เขาเอามาขายใน shopee อยู่ช่วงนึง เลยมีโอกาสได้ซื้อมาลองครับ ราคาหน้าเวบ $119 แต่ถ้าซื้อหลายตัวก็มีส่วนลด
รีวิวนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก Sensibo แต่อย่างใดครับ ซื้อเอง ใช้เอง รีวิวเอง
เกริ่นนำนิดนึง ก่อนหน้านี้ผมเองพยายามหา solution ที่จะสามารถสั่งการแอร์ในบ้านได้ด้วยแอพ หรือใช้ Google Home ที่ผมมีอยู่ (ผ่าน Google Assistant) พบว่าของ Google เองก็มี Product คือตัว Nest Thermostat ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ เพราะแอร์ตามบ้านส่วนใหญ่ Thermostat นั้นอยู่ในตัวเครื่อง ตัว Nest จะเหมาะกับระบบทำความเย็นในบ้านตามต่างประเทศมากกว่า เพราะจะมี Thermostat แยกออกมา ไม่มีรีโมท และการติดตั้ง Nest ก็ต้องต่อสายไฟด้านหลังตัว Thermostat ด้วย ยุ่งยากไปอีก และแอร์บางตัวอาจไม่รองรับ เท่าที่อ่านมา ถ้าเป็นแอร์แบบ Inverter จะยากหน่อยครับ
พอดีว่าโบ้งเพื่อนผม แนะนำให้รู้จักกับเจ้า Sensibo Sky และมันดูใช้ง่ายมากๆ คร่าวๆคือ มันจะมาแทนที่รีโมทของเราครับ
เปิดกล่องออกมา ข้างในกล่องก็มีแค่เจ้า device อันเล็กๆประมาณขนาดบัตรเครดิต แต่หนาประมาณ 1 cm และก็มีตัวสายชาร์จ micro USB และที่ชาร์จมาให้ครับ
พอเสียบไฟปุ๊บ (ต่อผ่าน micro USB แล้วเสียบที่ชาร์จเข้ากับไฟบ้าน) ก็เริ่มติดตั้งได้เลย
การติดตั้งนั้นง่ายมากๆ เพียงแค่เอารีโมทแอร์เครื่องนั้นๆมา sync สัญญาณ แล้วเจ้า Sensibo Sky นี้ก็จะเรียนรู้สัญญาณรีโมทของเรา แล้วสวมรอยเป็นรีโมทแทน แนวคิดนี้ฉลาดมากๆเลยครับ เพราะสามารถใช้ได้กับแอร์ที่มีรีโมทได้แทบจะทุกรูปแบบเลย
ผมว่า ตอนติดตั้งนั้นใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีอย่างที่เขาโฆษณาไว้จริงๆ
แล้วเจ้าตัว Sensibo Sky นั้นเชื่อมต่อ wifi กับบ้านของเราได้อยู่แล้ว เราก็จะสามารถสั่งงานผ่าน app ได้ เรียกได้ว่า เปลี่ยนแอร์ของเราให้กลายเป็น smart AC แบบเต็มรูปแบบเลย มีอะไรก็สั่งผ่านแอพ แล้วตัว Sensibo Sky มันก็จะทำหน้าที่เป็นรีโมท ไปสั่งงานแอร์อีกทีนึง
โดยที่เราจะต้องวาง Sensibo นั้นอยู่ในระยะและมุมมองที่สัญญาณรีโมทจะไปถึงนะครับ ส่วนมากวางไว้ในห้องเดียวกันก็ทำงานได้แล้ว
อันนี้เป็นหน้าตาในหน้าหลักของแอพ จากในภาพ ตอนนี้ผมปิดแอร์อยู่ครับ มี Sensibo Sky อยู่แค่ตัวเดียว ถ้ามีหลายตัว ก็จะสามารถคุม Sensibo Sky หลายๆตัวได้จากหน้าหลักในคราวเดียว
จากในแอพ เราสามารถปรับอุณหภูมิได้ ปรับความเร็วลม ปรับ swing หรือปรับทิศทางลม ทำได้ทุกอย่างเลยครับ และเนื่องจากตัว Sensibo Sky นั้นมันมี Thermometer ด้วย มันก็สามารถวัดอุณหภูมิของห้อง และความชื้น ณ ขณะนั้นให้เราทราบในแอพด้วยครับ เจ๋งมากๆ
สามารถตั้ง schedule เวลาเปิดและปิดแอร์ได้ และมีกราฟของอุณหภูมิในแต่ละช่วงเวลาของวันให้อีกด้วย
สิ่งที่ผมชอบมากๆคือ Sensibo Sky สามารถเชื่อมต่อกับ Google Assistant ได้แทบจะ 100% สามารถสั่ง Hey Google, turn on the AC แล้วเปิดแอร์ได้เลย สุดยอดมาก จะสั่งปรับอุณหภูมิ ปรับความแรงลมด้วยเสียง ก็ทำได้หมด หรือทำได้แม้กระทั่งเซตใน Routine แอพ Google Home ว่า ถ้าเราพูดว่า I’m home แล้วมันจะเปิดแอร์ให้อัตโนมัติ ก็ยังได้
สมัยก่อนตอนเด็กๆ ต้องลุกไปปรับอุณหภูมิที่ตัวแอร์ พอโตมาหน่อย ก็มีรีโมท ไม่ต้องเดินไปปรับแอร์ แต่ต้องหารีโมทให้เจอ พอสมัยนี้ ใช้สั่งงานด้วยเสียงเอาเลย 555 หรือไม่ก็สั่งงานจากมือถือเอา
นอกจาก Google Assistant ตัว Sensibo Sky ก็ยัง Support Ecosystem อื่นๆครับ เช่น Amazon Alexa และ Siri ด้วย แต่ผมยังไม่ได้ลองให้ครับ เพราะทั้งบ้านผมเป็นสาย Google หมดแล้ว ฮา
มีสอง Features ที่ผมว่าเด็ดเลยก็คือ Climate React กับ Geofence
Climate React คือเราสามารถกำหนดได้ว่า เมื่ออุณหภูมิในห้องอยู่ที่เท่าไหร่ถึงจะเปิดแอร์ หรือปิดแอร์ ซึ่งตรงนี้ก็สะดวกมากๆ เผลอๆอาจจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ด้วย เช่น ถ้าเกิดเป็นหน้าหนาว อาจจะให้ปิดแอร์อัตโนมัติถ้าอุณหภูมิเย็นแล้ว แต่หน้าร้อนประเทศไทยอาจจะกลายเป็นเปลืองไฟกว่าเดิม เพราะอุณหภูมิสูงตลอดเวลา 555 ผมก็เลยไม่ได้ใช้ Climate React กับที่บ้านครับ เพราะกลัวว่าถ้าไม่ได้อยู่บ้านแล้วแอร์อาจจะติดเอง
Geofence คือฟีเจอร์ที่เราสามารถให้ตัวแอพบนมือถือเราใช้ข้อมูล location จากมือถือว่าเราอยู่ตรงไหน และถ้าเราใกล้จะถึงบ้าน จะให้เจ้า Sensibo Sky เปิดแอร์อัตโนมัติได้ ซึ่งเราสามารถเซตรัศมีได้ด้วยครับว่าจะเอาใกล้ไกลแค่ไหน เช่น จะเซตตรงหน้าปากซอยบ้านก็ยังได้
ในทางกลับกัน ก็สามารถตั้งให้ Sensibo Sky ปิดแอร์แบบอัตโนมัติ เมื่อเราออกนอกรัศมีที่กำหนดไว้ ตรงนี้ก็จะช่วยได้มากๆถ้าเกิดเราลืมปิดแอร์ เจ้า Sensibo Sky ก็จะคอยระวังไม่ให้แอร์ทำงานได้เอง ถ้าเราไม่ได้อยู่บ้านครับ อันนี้ผมว่าดีมากๆ ผมก็เลยเปิดให้ Turn off ไว้ตลอดเมื่อผมออกจากบ้าน เพื่อมั่นใจว่าจะไม่ลืมปิดแอร์
มาพูดถึงข้อจำกัดกันบ้าง ตัว Sensibo Sky นี้จะมีฟีเจอร์อื่นๆหลายอย่างที่ต้องเสียเงินเพิ่มถึงจะใช้ได้ครับ เรียกว่าเป็นบริการ Sensibo Plus แต่สำหรับผม แค่ตัวฟีเจอร์เดิมๆที่ให้มาฟรีก็ใช้ได้อย่างเพียงพอแล้ว ผมเลยยังไม่ได้จ่ายเพิ่มเพื่อต้องการฟีเจอร์อะไรครับ
อีกข้อจำกัดนึงคือ Sensibo App ปัจจุบันใช้งานได้คนเดียว ไม่สามารถ add คนในบ้านมาร่วมสั่งงาน Sensibo Sky ได้ ผมเลยแก้ปัญหาโดยการสร้าง account กลางอันนึงขึ้นมา แล้วก็ Sign in กับมือถือของคนในบ้าน ใช้ account เดียวกัน
แต่ถ้าเป็นของ Nest (Google) จะสามารถใช้หลาย account ให้ access อุปกรณ์ต่างๆได้ครับ ถือว่าตรงจุดนี้ก็รอปรับปรุงต่อไป
ข้อดี
ข้อเสีย
เรียกได้ว่า ถ้าใครอยากหาอุปกรณ์เปลี่ยนแอร์ตามบ้านให้กลายเป็น Smart Air Conditioner ซื้อเถอะครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน ยิ่งเป็นสาย Google Assistant อยู่แล้ว ถูกใจยิ่งขึ้นไปอีกครับ (ใช้งานกับ Siri และ Alexa ได้เหมือนกัน)
เลนส์ตัวนี้เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้เอง ผมได้เลนส์ตัวนี้มาลองช่วงกลางเดือนกรกฏาคม จริงๆแรกๆก็ได้ลองยืมมาจากพี่ดัส พอได้ลองเท่านั้นก็หน้ามืดตามัว ซื้อเลย 555 จนถึงตอนนี้ก็ลองเล่นมาประมาณ 2 เดือนแล้ว ตอนแรกผมซื้อ Nikon 200-500 มาใช้ได้ไม่นาน พอมาเจอ Sigma 100-400 ต้องยอมรับเลยครับว่าใจมันเขวไปแล้วตั้งแต่ลองถ่ายชอตแรก และเพราะมันทำได้ประทับใจมากๆ ก็เลยโดนเป็นของตัวเองจนได้ ผมได้ลองนำเลนส์ตัวนี้ไปเทสที่ไอซ์แลนด์ เวียดนาม และฮ่องกงมาครับ
ถือว่า blog ตอนนี้เป็นรีวิวฉบับบ้านๆ แบบฉบับช่างภาพ landscape ที่เน้นการใช้งานจริงนะครับ
ผมจะเน้นภาพเป็นหลักนะครับ ภาพทุกภาพผมไม่ปรับแต่งใดๆทั้งสิ้น (ไม่ทำแม้กระทั่งตั้งตึกให้ตรง 555) เป็น JPG ล้วนๆจากกล้อง Nikon D800 ครับถ้าอยากดูไฟล์เต็มสามารถคลิกดูที่ link ด้านล่างภาพได้เลยครับ ผมไม่หวงไฟล์ครับ กดดู 100% ได้ด้วยตัวเองเลย อยากให้ได้กดเห็นศักยภาพของเลนส์จริงๆ (หรือกดที่ link นี้เพื่อดูทุกไฟล์ครับ)
135mm 1/160 f/5.6 ISO 200
crop 100%
สำหรับระยะ 135mm ทำได้ดี ขนาดเปิด f5.6 ก็ยังคม แต่ผมไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ เพราะช่วงซูมต้นๆเลนส์ต้องทำได้ดีอยู่แล้ว ที่น่าสนใจคือช่วงปลายๆมากกว่าครับ ติดตามดูได้จากภาพต่อๆไปดีกว่า
เรื่องสเปกผมคงไม่เน้นละเอียดมาก ผมเองก็ไม่ใช้สายที่จำข้อมูลเลนส์อย่างละเอียดสักเท่าไหร่ มี blade กี่ชิ้นก็ไม่เคยจำ 55 คร่าวๆ เลนส์ตัวนี้เริ่มรูรับแสงกว้างสุดที่ f5 และ f ไหลตามช่วงซูมไปจบที่ f6.3 ที่ 400mm ก็ถือว่าไม่ใช่เลนส์สว่างเมื่อเทียบกับ 70-200 f/2.8 แต่ถ้าเทียบกับเลนส์ที่ช่วงซูมและการใช้งานใกล้เคียงกันอย่าง Nikon AF-S 80-400mm f/4.5-5.6G ED VR และ Tamron SP 150-600mm f/5-6.3 Di VC ก็เริ่มที่ f ใกล้ๆกัน อย่าง Nikon AF-S NIKKOR 200-500mm f/5.6E ED VR ก็ f เริ่มที่ 5.6 ด้วยซ้ำไป
จุดเด่นของเลนส์ตัวนี้ ผมยกให้สามเรื่องครับ นั่นคือ
หนึ่ง ความคม คมที่สุดเมื่อเทียบกับ Nikon 80-400, Tamron 150-600, Nikon 200-500 เลยครับ ขนาดที่ f กว้างสุดยังคม ถ้าใส่ไปที่ f/11 นี่ระดับสบายหายห่วงแน่นอนครับ
สอง น้ำหนัก ด้วยน้ำหนักที่เบากว่ามาก แค่ 1.16 kg หรือกิโลกว่าๆเท่านั้นเอง เทียบกับ Nikon 80-400 (1.56 kg), Tamron 150-600 (1.95 kg), Nikon 200-500 (2.09 kg) เรียกได้ว่าต่างกันเยอะมาก
สาม โฟกัส โฟกัสเร็วน่าประทับใจมาก ผมใส่กับ D800 โฟกัสได้เร็วกว่าเลนส์ค่ายอย่าง 200-500 ด้วยซ้ำครับ และโฟกัสเข้าเป๊ะทุกรูป เมื่อก่อนผมเคยหวั่นๆกับเลนส์นอกค่ายว่าจะโฟกัสแม่นหรือไม่ ผมไม่เคยมีปัญหากับเลนส์ตัวนี้เลย
ผมคิดว่าเลนส์ตัวนี้มีประโยชน์มากๆก็สำหรับภาพถ่ายนก เพราะช่วงเลนส์ 400mm สามารถถ่ายอะไรได้เยอะทีเดียว ยิ่งพอใส่กับกล้องตัวคูณ หรือใช้กล้อง 36 ล้าน 45 ล้าน ก็สามารถ crop ได้อีก เพราะตัวเลนส์ก็ให้ภาพที่คมชัดน่าประทับใจ ผมได้ลองถ่ายนกพัฟฟินที่ไอซ์แลนด์กับเลนส์ตัวนี้ ผลลัพธ์ดีทีเดียวเลยครับ เห็นรายละเอียดขนนกชัดเจนมากๆๆๆๆ
400mm, 1/1250s f/6.3 ISO 500 สังเกตได้ว่าผมใช้ f กว้างสุดที่ช่วงซูม 400mm ความคมดีมากทีเดียวครับ
ครอป 100%
มีภาพตัวอย่างให้อีกภาพนึงครับ ถ่ายที่ 400mm 1/1250s f/6.3 ISO 500 การเก็บรายละเอียดที่ปีกนกทำได้ดีมากๆ กับเลนส์ราคาประมาณสามหมื่นบาท
320mm 1/100 f/10 ISO 200
เวลาเอามาถ่ายเจาะ pattern ของภูเขา มันก็จะฟินหน่อยๆ ภาพนี้ถ่ายที่เวียดนามครับ
400mm 1/320s f/9 ISO 320
ลองเอามาเจาะถ่ายคนดูบ้าง ภาพนี้ผมถ่ายย้อนแสงนิดหน่อย มีแฟลร์อยู่แต่น้อยมาก ลบได้สบายๆ
สำหรับการถ่ายภาพ Cityscape ก็ทำได้ดีมากทีเดียว ผมเดินขึ้นเขาไปที่ Lion Rock ที่ฮ่องกง เพื่อถ่ายภาพเจาะตึกในฝั่งเกาลูน จะมีอุปสรรคนิดหน่อยก็ตรงที่เลนส์ตัวนี้ไม่มี collar ทำให้การถ่ายภาพให้ชัด โดยที่ภาพไม่สั่นนั้นทำได้ยากกว่าเลนส์ที่มี collar มากทีเดียว ซึ่งเราก็แลกกับการที่เลนส์ตัวนี้มีขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก เดินขึ้นเขาก็สบายหลัง
อย่างภาพนี้ผมลากไปที่ 15 วินาที ก็แก้ปัญหาด้วยลองถ่ายหลายๆใบ จับจังหวะที่ไม่มีลม เพื่อให้ขาตั้งไม่สั่น แล้วเลือกใบที่ใช้งานได้ครับ
200mm, 15s f/14 ISO 100
Crop 100% กลางภาพ
แถม Cityscape ให้อีกภาพครับ คลิกเพื่อดูภาพเต็มได้ เห็นรายละเอียดแล้วฟินมากๆ
400mm 6s f/10 ISO 200
การถ่ายภาพในสภาพเกือบย้อนแสง ทำได้สบายๆครับ ไม่กังวลเรื่อง flare มากนัก ปกติเลนส์เทเลก็ไม่ค่อยมีปัญหานี้เท่าไหร่อยู่แล้ว ภาพด้านล่างนี้ถ่ายจาก The Peak ที่ฮ่องกง แสงเช้าครับ
185mm 1/400s f/8 ISO 400
ข้อดี
ข้อเสีย
ถ้าใครเคยใช้ตระกูล 70-300 ของ Nikon Canon Tamron อยู่แล้ว ผมคิดว่าเลนส์ตัวนี้ผมยกมาแทนที่ 70-300 (หนักราวๆ 750 กรัม) ได้เลย
ขอบคุณบริษัทชีร์โร่ มาร์เก็ตติ้ง ประเทศไทย ที่ส่งเลนส์มาป้ายยาให้ลองครับ
ขอจบการป้ายยาแต่เพียงเท่านี้ครับ สวัสดีครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดกระเป๋ากล้องผมครับ หลักๆเลยผมจะมาแนะนำกระเป๋าที่ผมใช้อยู่ตอนนี้คือ F-stop Guru ผมเองเคยใช้กระเป๋ากล้องมาหลายยี่ห้อ ถ้านับแบบกระเป๋าแบบสะพายหลัง ก็ใช้มาตั้งแต่ Lowepro Pro Runner 350 AW, Kata Bug 203 PL และ f-stop Guru ครับ ตอนนี้ผมอัพเกรดตัวเองมาใช้ F-stop รุ่น Lotus ซึ่งจะใหญ่ขึ้นมาหน่อย
พูดตามตรงว่ายี่ห้อ f-stop ที่ใช้อยู่นี้เป็นยี่ห้อที่ชอบที่สุดเลย เหมาะกับช่างภาพ landscape มากๆ และช่างภาพดังๆก็ใช้กัน ผมชอบกระเป๋าใบนี้มากกว่ายี่ห้ออื่นๆเพราะมันช่วย support หลังได้ดี แล้วก็มีสายคาดเอวเหมือนกับ backpack ใบใหญ่ๆ ทำให้สะพายแล้วรู้สึกไม่หนักเท่าใบอื่นๆครับ
ในภาพด้านบน ผมยืมกระเป๋าของน้องพีท สีฟ้าสดกว่าผม เผื่อใครชอบสีสดๆครับ ตากล้องไทยในอเมริกาใช้ f-stop กันทั้งแกงค์เลย 555
ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้เงินสนับสนุนการรีวิวจาก F-stop แต่อย่างใด ที่มารีวิวให้เพราะชอบล้วนๆครับ และอยากให้คนไทยลองใช้ยี่ห้อนี้กัน
สเปกสามารถดูได้จากเวบ F-stop สำหรับรุ่นที่ผมใช้คือ Guru อยู่ใน Mountain Series ก็ตาม link เลยครับ กระเป๋านี้มีขนาดเล็กพอที่จะสอดลงใต้ที่นั่งของเครื่องบินได้ครับ
ด้านในผมก็ใส่ macbook 13 นิ้ว และมี ICU ซึ่งเป็นที่ใส่อุปกรณ์กล้องทั้งหมด เรียกเต็มๆคือ internal camera unit ผมใช้ medium slope ICU กับเจ้า Guru ครับ
ภาพไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นะครับ ผมใช้กล้องเล็กถ่าย ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง
ICU หน้าตาแบบนี้ครับ เป็นกล่องสี่เหลี่ยมธรรมดาๆ แต่ไม่ธรรมดาเลย
ตัวกระเป๋าเองก็จะมีสายพาดบ่าที่ใหญ่ สายรัดเอวที่ใหญ่มาก (ไม่เคยเห็นยี่ห้อไหนใหญ่ขนาดนี้) และมีสายรัดอกด้วย รวมๆแล้ว ถ้ารัดทั้งเอวและคาดอก จะทำให้น้ำหนักแทบไม่ลงที่ไหล่เลย ทำให้ออกไปลุยได้สบายใจ
จุดเด่นของกระเป๋านี้คือตัวเนื้อผ้าและซิบมันกันฝนได้ดีมากๆ เพื่อนผมลื่นตกลำธาร เปียกทั้งตัว กระเป๋าจมลงไปนิดหน่อย 1-2 วินาที ของข้างในยังไม่เปียกเลย แต่ไม่ถึงขนาดกันน้ำ เอาไปดำน้ำไม่ได้นะครับ ผมเองซื้อผ้ากันฝนมายังไม่เคยได้ใช้เลย เพราะยังไม่เคยเจอฝนตกหนักแบบสุดๆ ถ้าตกปรอยๆ หรือเจอละอองน้ำตก ผมก็แทบไม่ควักผ้าคลุมกันฝนออกมาใช้เลย
เลนส์ที่ผมพกประจำคือ AF-S 16-35 f/4 VR, AF-S 24-120 f/4 VR, 70-200 f/2.8 VR II และบางครั้งถ้าไปถ่ายดาวก็จะติด AF-D 14mm f/2.8 ไปอีกตัวด้วย (อาจจะอัพเกรดตัวเองกลับไปใช้ 14-24 f/2.8 อีกไม่ช้า 555)
ในภาพด้านล่างนี้มี 16-35, 24-120, 80-200, และ 70-200 แต่ปกติพกเทเลไปแค่ตัวเดียวนะครับ ใส่มาให้ดูสองตัวเพื่อให้เห็นว่าแค่ medium slope ICU มันจุขนาดไหนแล้ว ตอนนี้ผมเองก็ขาย 80-200 ทิ้งไปแล้ว สังเกตว่าผมสามารถยัด D800 พร้อมกับเลนส์หลายตัวเข้าไปได้หมดเลย
พอใส่ ICU เข้าไป ก็จะหน้าตาประมาณนี้ครับ
สำหรับอุปกรณ์อื่นๆที่ผมพกติดกระเป๋าก็มีแบตเตอรี่ 5 ก้อน (ส่วนมากผมทิ้งที่ชาร์จไว้ที่บ้าน หรือไม่ก็เอาไปอันเดียว แชร์กับคนอื่น) CPL B+W slim หน้า 77mm หนึ่งแผ่น มีซองใส่ big stopper และ holder ผมเองไม่พก Graduate filter แล้ว และที่สำคัญมากๆคือกระเป๋าใส่ memory card ซึ่งใส่ได้สูงสุด 6 ใบ ผมมีเมม 32 GB หกใบ และ 64 GB อีกสองใบ ซึ่งก็ถ่ายเต็มเหนี่ยวได้ถึง 320 GB ช่วงหลังมีเมมเยอะขึ้นเพราะใช้ D800 และถ่าย bracketing เยอะขึ้น แต่ก็ยังไม่เคยมีทริปไหนใช้ครบเลยครับ มากสุดก็ 250 GB ในทริปเดียว การมีกระเป๋าใส่เมมก็ทำให้เป็นระเบียบดีครับ หายทั้งใบนี่คือหายหมดเลย ฮาาาา
ผมเน้นถ่าย bracket คร่อมเอาแล้วไปรวมใน photoshop แทนการใช้ graduate filter ครับ งานตอน processing จะเยอะกว่ามาก แต่ได้ไฟล์ดีกว่ากันเยอะครับ
ที่เหลือก็พวกผ้าคลุมกันฝน คีมขันฟิลเตอร์ หูฟัง ปากกา กล่องใส่นามบัตร และก็ hex key สำหรับขัน plate กล้องให้แน่น
ผมสามารถยัดของทั้งหมดนี้ ลงไปในเป้ใบเดียวได้สบายๆครับ ลืมไปว่ามี laptop อีกตัวที่ไม่อยู่ในภาพด้วย
ข้อเสียข้อเดียวที่ผมไม่ชอบก็คือช่องใส่คอมมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ มันไม่มีโฟมรองรับ ต้องหา sleeve มาใส่อีกที หรือใครจะใส่ไปตรงๆเลยก็ได้เหมือนกัน ช่องใส่คอมจะอยู่ที่เดียวกับ ICU ถ้าเราใส่ของจุกจิกด้านหน้า เช่น ผ้าเช็ดเลนส์ ที่กันฝน มันจะช่วยกันไม่ให้ laptop ได้รับแรงกระแทกตรงๆจากด้านนอกครับ
สำหรับขาตั้งผมใช้ Gitzo GT 1542 Mountain series และหัวบอล RRS BH-40 ครับ หัวบอลรุ่นนี้ประทับใจมาก เพราะใช้ทนมือทนเท้าสุดๆครับ ใช้มาสามปี สภาวะโหดสุดๆ ไม่มีปัญหาเลย
รวมๆแล้วใบไม่เล็กไม่ใหญ่ และแม้จะยัดของลงไปทั้งหมด พอสะพายแล้วกลับไม่รู้สึกหนักมาก เพราะ balance ดี สายรัดเอวดี เหมาะกับช่างภาพ landscape ขาลุยแน่นอนครับ
ข้อดี
ข้อเสีย
ถ้าใครอยากสะพายแล้วหล่อ ดูดี แนะนำรุ่นที่ใหญ่กว่านี้ครับ มันจะดูเหมือน backpack เลย สะพายแล้วเท่ดี ใครชอบสีสดๆก็มีสีฟ้าและสีส้มให้เลือกครับ
You must be logged in to post a comment.