ผมไปเปรูแบบ”จานด่วน” มาเมื่อวันที่ 19-24 มีนาคมที่ผ่านมา ทำไมถึงเป็นจานด่วน ก็เพราะทริปนี้จัดแบบง่ายมากๆ จัดเพราะได้ deal ตั๋วราคาถูกมากๆ บินจาก Los Angeles (LAX) ไป Lima (LIM) ของสายการบิน Avianca ราคาแค่ 298 USD หรือคิดเป็นเงินไทยก็สนนราคาราวๆหนึ่งหมื่นบาทเท่านั้นเอง แลกกับไมล์ที่ได้เกือบๆแปดพันไมล์ คุ้มมากครับ (แต่ตอนนี้ไมล์ไม่ยอมเข้า united account ของผมสักที) ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานเลย ปกติผมเป็นคนที่ไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์มากนัก ถ้าเทียบให้ราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างเปรูกับพาตาโกเนียเท่ากัน ผมย่อมเลือกที่จะไปพาตาโกเนียอย่างแน่นอน แต่เมื่อตั๋วราคาถูกมาอยู่ตรงหน้า ใครจะต้านทานไหวครับ
กดไปอย่างนิ่มๆ $298 แบบตัดสินใจแค่ครึ่งชั่วโมงเอง (รูปจากเวบ theflightdeal.com) ที่ใช้เวลาคิดครึ่งชั่วโมง เพราะว่าวันที่ 28 มีนา ผมต้องบินไป conference ที่ออสเตรีย ต้องวางแผนเลือกวันเดินทางให้ดีๆกันนิดนึง เดี๋ยวจะทำงานไม่ทัน ฮาาาา การเดินทางของผมเริ่มต้นที่สนามบิน Los Angeles ครับ ทริปนี้เรามีสมาชิกกันสามคน คือผม เน จากแอลเอ และพี่พอลจาก Washington DC มีกันแค่นี้เพราะเราไปกันสั้นเกิน ไม่มีคนไปด้วย 5555
กำหนดการคร่าวๆ ไม่มีอะไรมากครับ ผมแพลนว่า วันสุดท้ายของทริปให้จัดหนักที่ Huayna Picchu เพราะเป็นการ hike ที่โหดที่สุด อยากให้ร่างกายปรับสภาพกับที่สูงเสียก่อน แม้ว่าที่ Machu Picchu จะไม่สูงมากเท่ากับ Cusco แต่การให้ร่างการเราปรับตัวสักสามวันก่อน จะเป็นการดีครับ ส่วนตารางทริปสามวันก่อนหน้านั้นก็คิดสดๆเอาสองวันสุดท้ายก่อนเดินทาง เพราะอยากรอดูอากาศให้แน่ใจก่อน
March 19th Los Angeles to Lima แวะเปลี่ยนเครื่องที่ San Salvador (SAL)
March 20th ถึง Lima ตอนตีสอง บินไป Cusco ตอนเช้า และ city tour ตอนบ่าย
March 21th เที่ยว Moray และ Salinas และไป Ollantaytambo เพื่อนั่งรถไฟต่อไป Aguas Calientes ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านก่อนขึ้น Machu Picchu
March 22th เที่ยว Machu Picchu
March 23th เที่ยว Machu Picchu อีกวัน และตีตั๋วขึ้น Huayna Picchu ตอนเย็นนั่งรถไฟกลับ Ollantaytambo และกลับ Cusco
March 24th บินกลับ Lima ตอนตีห้า และนั่งเครื่องกลับแอลเอตอน 10.30am แวะที่ San Salvador เหมือนเดิม แต่คราวนี้แวะตั้งเจ็ดชั่วโมง (ตั๋วถูกก็เงี้ย) และถึงแอลเอตอนเที่ยงคืนครับ
จะเห็นได้ว่าผมไม่ได้เที่ยวอย่างอื่นนอกจากแถวๆ Cusco เลย Lima ก็อยู่แค่ในสนามบินครับ ผมจัดเต็มในทริปนี้ให้กับมาชูปิกชูอย่างเดียว มาหนึ่งหนก็เอาให้คุ้ม ตอนแรกผมแพลนว่าอยากไปชมวิวยอดเขา Salkantay โดยนั่งรถไปลง Mollepeta และอาจจะเดินหรือหารถ taxi ไปที่ Soraypampa แต่เนื่องด้วยช่วงปลายเดือนมีนายังเป็นหน้าฝนอยู่ โอกาสที่เห็นยอดเขาคงน้อยมากๆ และผมก็ตัดสินใจถูกที่ตัด Salkantay ทิ้งไป เพราะตอนไปถึงเปรูนั้นไม่มีสักวันที่ฟ้าใสเลยครับ มีฝนตกทุกวันด้วยซ้ำ ตกเหมือนเมืองไทยในช่วงหน้าฝนเลย (หน้าร้อนของ Andes ในเปรูคือหน้าฝนครับ) หากอยากจะมาเดิน inca trail ในช่วงนี้ก็จะแทบไม่เห็นวิว ได้แต่ชมประวัติศาสตร์อย่างเดียว ถ้าจะอยากเห็นฟ้าใสๆต้องมาช่วงเดือนมิถุนาถึงสิงหาครับ
การเดินทางทั้งหมดหกวัน เสียเวลาบินไปหนึ่งวัน บินกลับหนึ่งวัน ทริปจริงๆในเปรูมีแค่สี่วันเองครับ ผมขอรวบทั้งหมดเป็นตอนเดียวเลย จะได้ไม่กระจัดกระจายครับ
19 มีนาคม
ผมออกจากบ้านตอนสายๆ เพราะกว่าเครื่องจะออกก็เกือบๆบ่ายสอง เลยไม่ค่อยรีบร้อน โดยสายการบิน Avianca ที่ผมจะบินไป San Salvador และต่อเครื่องไปลิม่านั้นออกจาก LAX ที่ terminal 2 นะครับ ไม่ใช่ international terminal เอาเข้าจริงๆแล้ว terminal 2 นี่ก็เหมือนเป็น international terminal ย่อยๆของ LAX เลย มีหลายสายการบินมากๆ ทั้ง Air New Zealand, Air China, Air Mexico, Air Canada บลาๆๆ ซึ่งหลังจากเชคอินแล้ว ผมก็ใช้สิทธิ์ Star Alliance Gold (ได้มาจาก Asiana Airlines) เข้า Lounge ของ Air Canada ครับ
โดยรวมแล้วสายการบิน Avianca ไม่ได้แย่มาก แต่ก็ไม่ได้น่าประทับใจมาก บริการกลางๆ ตัวเครื่องที่ผมนั่งไป San Salvador ข้างในใหม่ มีทีวีส่วนตัวให้ แต่ไฟลท์เข้าลิม่านั้นไม่มีทีวีส่วนตัวครับ อาหารก็รสชาติกลางๆ ออกแนวอาหารฝรั่งเสียมากกว่า แต่ที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คงเป็นสนามบิน San Salvador ซึ่งหน้าตายังกับ บขส เลยทีเดียวครับ 555 บรรยากาศอบอ้าวนิดหน่อย ตัว layout ของสนามบินก็ไม่ค่อยดีครับ ร้านค้าส่วนมากก็เป็นห้องแถว ให้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในมาบุญครอง (อันนี้พูดจริง ฮาาา)
บรรยากาศดีกว่า บขส หน่อยนึง 555
ผมมาถึง San Salvador ราวๆทุ่มนึง ก็พอดีกับที่พี่พอล ซึ่งบินมาสมทบจาก Washington DC มาถึงพอดี สายการบิน Avianca นี้จะใช้ San Salvador Airport เป็น hub ครับ โดยเครื่องบินที่บินมาจากหลายๆที่ในสหรัฐอเมริกา จะบินมาถึงพร้อมๆกัน มีเวลาเปลี่ยนเครื่องหนึ่งชั่วโมง และไฟลท์เข้าอเมริกากลางและอเมริกาใต้ก็จะออกไล่ๆกันเลยครับ ไฟลท์ไปลิม่าของพวกผม ออกประมาณสองทุ่ม และถึงลิม่าตอนตีสองครับ โดยเวลาที่ลิม่าต่างกับ San Salvador 1 ชั่วโมง และต่างจากแอลเอสองชั่วโมงครับ
ตอนต่อเครื่องที่ San Salvador ไม่ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเลยครับ เหมือนกับการเปลี่ยนเครื่องในประเทศเฉยๆ ฉะนั้นเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงสำหรับการเปลี่ยนเครื่องนั้นเหลือเฟือแน่นอน
อาหารบนเครื่อง
20 มีนาคม
ผมมาถึงลิม่าตอนตีสองในสภาพเบลอและล้าพอสมควร จากนี้ผมต้องต่อเครื่องไป Cusco ตอนหกโมงเช้า ซึ่งก็ค่อนข้างลงตัวพอดี ผมมีเวลาสี่ชั่วโมงที่จะผ่านการตรวจคนเข้าเมือง ผ่านศุลกากร และเชคกระเป๋าใหม่ ซึ่งก็มีเวลาหลวมๆพอให้เดินเล่น หาอะไรทานขำขำได้หนึ่งมื้อครับ จาก Lima ไป Cusco นั้นมีสายการบินหลักๆสองเจ้าคือ Avianca กับ LAN ให้เลือกใช้ ส่วนมากก็ราคาไม่หนีกันครับ ก็คือ 160-180 USD ต่อเที่ยว ไปกลับก็สามร้อยกว่า แพงกว่าตั๋วบินจากแอลเอมาเปรูเสียอีกนะเนี่ย 5555 ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าค่าตั่วในเปรูจะมีสองราคาครับ ราคาคนเปรู ซึ่งถูกมากๆ ไม่ถึง 60 USD ซึ่งต่างกันสามเท่าตัวเลยทีเดียว ส่วนผมต้องซื้อราคาคนต่างชาติครับ ผมเคยได้ยินมาว่าถ้าซื้อตั๋วราคาคนเปรู ตอนเชคอิน เขาจะบังคับให้เราจ่ายส่วนต่างเพิ่มอีก เผลอๆอาจจะแพงขึ้นกว่าเดิมครับ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ให้ขึ้นบินครับ ก็ถือว่าเป็นนโยบายของรัฐที่ไม่เลว เพราะนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมาชูปิกชูกันเยอะมาก รายได้ตรงส่วนนี้ก็หักเอาไปช่วยให้คนในประเทศจ่ายค่าตั๋วได้ในราคาถูกลง นักท่องเที่ยวอย่างเราๆก็ไม่มีทางเลือกครับ ถ้าอยากจะมา ก็ต้องจ่าย
คนไทยเข้าได้เลย ไม่ต้องใช้วีซ่าครับ
เข้ามาเปรู ผมลองเจ้านี่อย่างแรกเลยครับ “inca cola”
สนามบิน cuzco
ไฟลท์ไปคุซโกนั้นใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ถือว่าสั้นพอควร แต่ถ้าใครอยากได้ประสบการณ์แบบ local ก็แนะนำว่าลองนั่งรถบัสครับ น่าจะใช้เวลานานพอดู อาจจะหนึ่งวันเต็มๆ เพราะเส้นทางเป็นภูเขาทั้งนั้น ข้อเสียอย่างนึงของการนั่งเครื่องบินก็คือ เราจะไม่มีโอกาสได้ปรับระดับความสูงเลย จากลิม่าซึ่งอยู่ในระดับน้ำทะเล เพียงหนึ่งชั่วโมง ออกจากตัวเครื่อง เราโผล่มาอยู่ที่ 3,300 เมตรเสียแล้ว หากใครแพ้ความสูง อาการก็จะออกเร็วหน่อย ในวันแรกจะชัดเจนมากครับ ถ้านั่งรถบัสขึ้นมา ก็จะเป็นข้อดีตรงที่ร่างกายค่อยๆปรับกับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนนั่งเครื่องบินที่ความสูงเปลี่ยนแบบเฉียบพลัน
ตัวผมเองก็มีปัญหากับความสูงบ้างครับ ผมเคยไปเดิน trek ที่ Thousand Island lake ซึ่งอยู่ใน California ระดับความสูง 10,000-12,000 เมตร ก็ประมาณ cusco เลยทีเดียว ตอนนั้นผมเหนื่อยง่ายมาก หน้าซีด ปากเขียว หมดแรง แต่สุดท้ายก็ลากสังขารขึ้นไปจนถึงปลายทางได้ พอมาที่ cusco ก็มีอาการออกเล็กน้อยครับ ผมท้องเสียไปสองวัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะผมกินยำปลาดิบ (ceviche) หรือว่าเพราะอาการแพ้ความสูงกันแน่ 55555 อาการโดยทั่วไปของโรคแพ้ความสูง (Altitude mountain sickness: AMS) ก็คือจะหอย เหนื่อยง่าย หน้ามืด อาจจะมีท้องเสียร่วมด้วย ผมก็อ่านรายละเอียดมาพอสมควร มาเจอจริงๆก็ต้องทำใจครับ ค่อยๆเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่รีบร้อน ไม่เร่งเดิน ยิ่งเมือง cusco เป็นเมืองริมเขาด้วยแล้ว การจะเดินไปเที่ยวบางที่ อาจจะต้องขึ้นเนินชันมากหน่อย ก็ไปแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ
มีหลายคนแนะนำผมมาว่า วันแรกอย่าเพิ่งไปซ่าที่ Machu Picchu เลย เพราะที่นั่นต้องเดินขึ้นลงเยอะพอสมควร แม้ว่าความสูงที่มาชูปิกชูจะแค่ 2400 เมตร ต่ำกว่า cusco เกือบพันเมตร แต่มันก็เป็นการดี ถ้าเราปรับระดับความสูงที่ cusco ก่อน ถ้าอยู่ใน cusco ได้ไม่มีปัญหา พอไปมาชูปิกชูก็จะสบายครับ
ที่ผมเจอหนักในวันแรก เพราะผมเลือกจองโรงแรมที่วิวดีมากๆ แต่ปัญหาคือโรงแรมมันอยู่บนเขาครับ 55555 เวลาเดินลงมาในเมืองก็สบายครับ แต่เวลาเดินกลับโรงแรมนี่สิ งานเข้าเลยครับพี่น้อง แต่โรงแรมดีมากนะครับ วิวสวยมากๆ และเจ้าของก็เป็นกันเองมากๆด้วย ผมได้ข้อมูลมาจากพี่อ๊อบ ต้องขอบคุณมากๆเลยนะครับที่แนะนำที่นี่มา ประทับใจมาก มีหมาน่ารักคอยต้อนรับแขกด้วย
โรงแรมนี้ชื่อ Hostal Wara Wara ราคาอาจจะสูงกว่าโรงแรมอื่นๆใน Cusco แต่ผมประทับใจสุดๆก็วิวนี่แหละครับ ไม่เบื่อเลย
ด้านในโรงแรม
วิวด้านนอกระเบียง
กลับมาที่การเดินทางครับ หลังจากที่ผมถึงสนามบิน Cuzco แล้ว ก็ได้เวลาหา taxi เข้าเมือง ตอนที่เราถึงตรงสายพานรับกระเป๋า ก็จะมีคนขับ taxi มากมายมาคอยถามว่าจะไปมั้ย ไปมั้ย อารมณ์เดียวกับหมอชิตเลยครับ 555 ซึ่งผมทำการบ้านมาแล้ว ก็เตรียมพร้อมรับมือราคาไว้ ถ้าถามแถวนี้ อาจจะได้ 25-30 soles ซึ่งแพงมาก หนทางที่ดีกว่านั้น คือรับกระเป๋าเอง แล้วเดินออกไปด้านนอกสนามบิน ตรงโซน departure หรือตรงลานจอดรถ จะได้ราคาถูกกว่า ยิ่งเดินออกไปเรียกที่ถนนเลยจะถูกลงไปอีกครับ ที่ราคาถูกกว่าเพราะทางสนามบินเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม 5 soles กับ taxi ครับ ทำให้ราคา taxi ในสนามบินแพงกว่าปกติ ผมต่อราคาแถวๆที่จอดรถได้ 20 soles ให้ไปส่งถึงโรงแรมซึ่งอยู่บนเขาเลย ซึ่งดีมากๆ เพราะผมไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นเนินเอง ถ้าเป็นอย่างนี้จะลำบากกว่ามากครับ
แพลนวันแรกนี้ผมจัดให้หลวมมากๆ ว่าจะเดินเล่นใน cusco แต่ก็พักไว้ตอนบ่ายครับ ตอนเช้าขอนอนก่อน เพราะเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน ต่อเครื่องที่ลิม่าตลอดคืน ไม่ได้นอนเลย ว่าแล้วก็นอนเอาแรงจนถึงเที่ยง เจ้าของโรงแรมคงงงว่าไอ้นี่มาถึงแล้วไม่เที่ยวหน่อยเลยเหรอ นอนอย่างเดียวเลย 55 พอท้องเริ่มหิว พวกผมเลยลงไปหาข้าวเที่ยงกันแถวๆ plaza de armas ซึ่งแปลง่ายๆว่ามันคือย่านใจกลางเมือง เป็นย่านหลักของนักท่องเที่ยวที่มา cusco มีทุกอย่างตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ร้านแลกเงิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ขายตั๋วมาชูปิกชู รถทัวร์ รถบัส แทกซี่ หรืออยากจะซื้อของ ซื้อยา ของจุกจิก ของที่ระลึก มีคนมายืนขายตลอด เรียกได้ว่าทุกอย่างเริ่มต้นที่นี่ครับ
ผมเองไม่ได้ทำการบ้านมาเลยว่า cusco มีอะไรบ้าง รู้แต่ว่าสเปนมายึดครอง ทำลายโบราณสถานอินคา แล้วเอาหินเหล่านั้นมาสร้างโบสถ์ พยายามเปลี่ยนให้คนพื้นเมืองมานับถือศาสนาคริสต์ เลวมั้ยล่ะครับ 5555 มันก็เป็นปกติของการจะยึดครองประเทศไหน ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รากฐาน พยายามลดทอนวัฒนธรรม ความศรัทธา และความเชื่อดั้งเดิมให้อ่อนแอลง และต้องสร้างความแตกแยกระหว่างชนชั้นผู้นำ จะได้ยึดครองง่ายๆ (เอ๊ะ ฟังเหมือนอะไรใกล้ตัวกับประเทศเราเอง 555) ซึ่งโบสถ์หลักๆก็อยู่ตรง plaza de armas นี่เอง ผมกะว่าจะเดินเล่นรอบๆ และเดินไปจนถึงตลาดสดที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ อยากเดินไปดูชีวิตของคนพื้นที่ ต้องไปเดินดูที่ตลาดครับ เป็นเหมือนกันทุกที่ เราเดินไป เห็นอะไรน่ากิน ก็ซื้อมาชิมไปเรื่อยๆ ที่ตลาดก็มีร้านขายน้ำผลไม้สด มีขายข้าวโพด เรียกได้ว่าอิ่มไปตลอดทางเลยครับ เอาเป็นว่าผมเล่าเรื่องด้วยภาพนะครับ
ตอนแรกผมว่าจะถ่ายแสงเย็นที่ plaza de armas แต่ดูมุมแล้วมันรกๆ สายไฟและเสาไฟเต็มไปหมด ถ่ายยาก เลยตัดสินใจว่ากลับโรงแรม ไปถ่ายมุมสูงดีกว่า แต่เวลาจวนเจียน พระอาทิตย์จะตกแล้ว ก็ต้องทำเวลาครับ มารู้ซึ้งถึงฤทธิ์ของ altitude sickness อย่างแท้จริงก็ตอนขึ้นเนินนี่แหละครับ นี่ขนาดผมไม่ได้วิ่ง แค่เร่งเดินนิดหน่อยเพื่อทำเวลา ยังหอบแฮ่กๆกันขนาดใหญ่ พอขึ้นมาถึงโรงแรม แทบเบลอเลยครับ โชคดีที่มาทันเวลาพอดี แม้ว่าเมฆจะเยอะ แต่ปลายขอบฟ้าก็พอมีแสง เข้ากับบรรยากาศเมืองที่นี่ได้ดีทีเดียว หลังคาแดงๆ และบ้านทรงเก่าๆ ผนังเป็นเหมือนเป็นบ้านดิน ดูเข้ากันดีครับ
พวกผมปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านอาหารสุดเลิศ ชื่อร้าน Pacha Papa หากใครได้อ่านรีวิวของหลายๆท่านในพันทิปก็จะเห็นรีวิวร้านนี้ตลอด เมนูหลักทุกจานอร่อยหมดครับ ฟันเฟิร์ม!!!! แถมราคาไม่แพงด้วย ด้วยอาหารเกรดนี้ ไปกินที่ยุโรป อเมริกา แพงกว่านี้ห้าเท่าคัรบ
21 มีนาคม
โปรแกรมวันนี้ผมก็ไม่รีบร้อนครับ เนื่องจากผมท้องเสีย 5555 ผมตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไปถ่ายรูปที่โบสถ์บนยอดเขา โชคดีมากๆที่เมฆตรงขอบฟ้าเปิดพอดี เลยได้มีโอกาสเห็นภูเขาชื่อดัง Mount Ausangate ด้วยครับ ถือว่าได้ชมบรรยากาศยามเช้าของเมืองในขุนเขาที่ดีทีเดียว
จากโรงแรม หากจะไป Saksaywaman หรือที่เรียกกันขำขำว่า Sexy Woman ซึ่งเป็นโบราณสถานของชาวอินคาที่อยู่บนเขา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักแห่งหนึ่งใน cusco ครับ จากโรงแรมสามารถเดินขึ้นเขาไปอีกไม่ไกล หรือจะเรียก taxi ก็ได้เช่นกันครับ แต่เนื่องด้วยเวลาผมมีไม่พอ เพราะโปรแกรมหลักวันนี้คือเหมา taxi ไปที่ Ollantaytambo เพื่อต่อรถไฟไปเมือง Aguas Calientes ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ตรงตีนเขา ก่อนขึ้น Machu Picchu หากใครจะขึ้นไปชมมาชูปิกชูในตอนเช้า ก็ต้องมานอนค้างที่ Aguas Calientes ครับ จริงๆแล้วเราสามารถนั่งรถไฟจาก cusco ไปถึง Aguas Calientes ได้เลย แต่จะใช้ระยะเวลาพอสมควร รอบรถไฟมีน้อย และยังราคาแพงสุดกู่ด้วยครับ นักท่องเที่ยวส่วนมากก็จะตั้งต้นจาก Ollantaytambo แค่ค่าตั๋วจาก Ollantaytambo ไป Aguas Calientes ก็ปาเข้าไป 60-70 USD แล้ว แค่ระยะทางนั่งรถไฟราวๆสองชั่วโมง ไปกลับก็เกินร้อยเหรียญเลย
จาก Cusco ไป Ollantaytambo สามารถนั่งรถบัสหวานเย็นได้ หรือจะนั่งรถตู้ก็ได้ครับ สนนราคาแค่คนละ 15-20 soles เท่านั้นเอง แต่ผมเล็งไว้แล้วว่าอยากแวะเที่ยวรายทางด้วย ก็เลยตัดสินใจเหมา taxi ไปจาก cusco เลย แวะเที่ยว Moray และ Salinas ซึ่งผมคิดว่าเด็ดที่สุดในบรรดาจุดแวะเที่ยวทั้งหมดที่อยู่ระหว่างทางก่อนถึง Ollantaytambo ผมให้ทางโรงแรมช่วยเรียก private taxi ให้ ซึ่งเขาคิดราคา 150 soles ถ้าเรานั่งรถบัสไป ก็ต้องเหมา taxi เพื่อเข้าไปที่ Moray/Salinas อีกอยู่ดี เพราะสองที่นี่ต้องแยกเข้าไปจากถนนใหญ่อยู่พอสมควรเลยครับ และค่า taxi ก็น่าจะปาเข้าไป 60-70 soles แล้ว และในวันนี้ผมก็มีเพื่อนสาวชาวเปรูชื่อ Hesen ขอติดรถไปเที่ยวด้วย และหลังจาก taxi ส่งพวกผมที่ Ollantaytambo แล้ว เธอจะนั่ง taxi คันเดิมกลับ cusco ครับ
หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ประวัติศาสตร์ อยากแวะเที่ยวโบราณสถานหลายๆที่ ทางการเปรูก็มีตั๋วรวมแบบลดราคา เข้าได้ทุกที่ ทั้ง Saksaywaman, Moray, Salinas, Pisac และโบราณสถานอีกอัน Ollantaytambo ครับ แต่การมาเปรูของผมครั้งนี้ ผมอยากเน้นไปที่มาชูปิกชูมากกว่า เลยตัดสินใจไปแค่ Moray และ Salinas และก็ไม่ซื้อตั๋วรวม เพราะคงใช้ไม่คุ้มแน่ๆ ยิ่งถ้าใครมีบัตร international student identity card (ISIC) ก็จะได้ส่วนลดอีกนะครับ หากสมัครบัตรนี้มาก่อนจะคุ้มมากๆเลย
เราแวะ Salinas กันก่อน ค่อยต่อไปที่ Moray ครับ ซึ่ง Salinas ก็คือนาเกลือโบราณสมัยอินคา ทำเป็นลักษณะขั้นบันได มีระบบประปาด้วย!!! ไฮโซมากๆ หลักการง่ายๆคือนำเอาน้ำที่ไหลมาจากลำธารแถวนั้น ซึ่งเค็มอยู่แล้ว เพราะดินแถวนี้เค็มครับ ผันน้ำเข้านาขั้นบันได แล้วก็ให้มันแห้ง ก็จะได้เกลือ และจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีการทำเกลืออยู่ แถมยังแพคขายนักท่องเที่ยวอีกด้วย!!! ตอนแรกผมกะว่าจะเห็นนาเกลือขาวๆมากมาย แต่มาถึงจริงๆแล้วมันไม่ขาวสักเท่าไหร่ ออกจะสีแดงน้ำตาลๆ เหมือนเป็นช็อคโกแลตราดไอซิ่งเสียอย่างนั้น คาดว่าคงมาไม่ถูกช่วงครับ
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าตรงไปที่ Moray ระหว่างทางก็เจอฝนกันไปตามระเบียบ เพราะผมมาช่วงหน้าฝนครับ 5555
ลักษณะของ Moray มองเผินๆ อาจจะนึกว่าเป็นร่องรอยของมนุษย์ต่างดาว 555 เพราะว่ามันเป็นวงกลมหลายๆชั้นครับ นักประวัติศาสตร์คาดว่ามันคือสถานีทดลองเชิงเกษตรของชาวอินคา ทดลองปลูกพืชในแต่ละระดับความสูงที่ต่างกัน ดูว่าพืชชนิดไหนขึ้นได้ดีที่ความสูงเท่าไหร่ ที่เห็นแต่ละชั้นนั้นสูงประมาณเกือบๆ 2-3 เมตรได้ ห้าสิบชั้นก็ต่างกันเป็นร้อยเมตรแล้วครับ ชาวอินคาฉลาดไหมล่ะครับ เรื่องปลูกพืช ยังใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เลย ตอนที่ผมเดินลงไปถึงด้านล่าง แล้วต้องเดินย้อนกลับขึ้นมา ก็เล่นเอาหอบเลยทีเดียว เพราะที่ Moray นั้นยังอยู่ที่ระดับความสูงราวๆ 3,000 เมตรอยู่ หากรีบเดินขึ้น อาการแพ้ความสูงก็จะเล่นงานทันทีเลยครับ
หลังจากนั้นตลอดบ่ายฝนก็เทลงมาต่อเนื่องมากๆ พวกผมแวะทานข้าวเที่ยง(ตอนบ่ายสาม)ที่เมือง Urubamba ซึ่งจากตรงนี้ ประมาณ 40 นาทีก็ถึง Ollantaytambo แล้วล่ะครับ แต่เนื่องจากผมจองรถไฟไว้รอบดึกสุด ผมจองล่วงหน้าไว้เกือบเดือนกว่าๆ ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ได้แพลนอย่างละเอียดว่าวันไหนจะทำอะไร ไปไหนบ้าง ผมมาถึง Ollantaytambo ตอนบ่ายสี่ แต่รถไฟออกสามทุ่มครับ ก็เลยมีเวลาเดินเล่นใน Ollantaytambo เยอะมากๆๆ เป็นพิเศษ เจอนักท่องเที่ยวก็ทักทายคุยกัน ได้เพื่อนใหม่เพิ่ม สนุกดีครับ
เขาว่ากันว่าวิวสองข้างทางตลอดเส้นทางรถไฟนี้สวยมาก แต่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นครับ เพราะทั้งขาไปและขากลับ ก็เดินทางเวลากลางคืนทั้งคู่เลย ว่ากันเรื่องรถไฟ ผมเลือกใช้บริการของ Perurail ครับ ที่นี่จะมีเจ้าหลักๆสองเจ้าคือ Perurail กับ Incarail ซึ่งดูฟอร์มแล้ว Perurail ภาษีดีกว่ามาก บริการดีกว่า รถใหม่กว่า เนื่องจากบริษัทที่รับสัมปทานนั้นเป็นบริษัทที่ให้บริการรถไฟในระดับหรู เจ้าของเดียวกับ Oriental Express ที่ให้บริการจากกรุงเทพไปสิงคโปร์นั่นเอง สังเกตได้ว่าตอนขึ้นรถไฟ เจ้าหน้าที่ก็มีเครื่องสแกนบาร์โค้ดอย่างดี พออยู่บนรถไฟ ก็มีรถเข็นเสิร์ฟน้ำและของว่าง เหมือนกับอยู่บนเครื่องบินเลยครับ หรูมากๆ
กว่าผมจะมาถึง Aguas Calientes ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มแล้ว กว่าจะหาที่พักเจอ (ตอนมืดๆ) ก็เกือบๆเที่ยงคืน เพราะที่พักที่ผมจองไว้คือ Cusi Backpacker Hostel ไปหลบมุมอยู่สุดทางของเมืองครับ ที่นี่ค่าที่พักถูกมากครับ อย่าง hostel ที่ผมนอน ก็ตกคนละ 10 USD เท่านั้นเอง (เทียบกับ Hostal Wara Wara คนละ 20 USD ต่อคืนครับ) ถึงที่พักแล้วก็ล้มตัวลงบนเตียงเลย เพราะเช้าวันถัดมา ผมเล็งจะออกตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ไปต่อคิวรอรถบัสเที่ยวแรกเพื่อขึ้น Machu Picchu ในตอนตีห้าครับ
22 มีนาคม
จริงๆแล้วกว่าผมจะมาแพลนว่าวันนี้จะเดิน Machu Picchu ก็สองวันก่อนเดินทางมาเปรูครับ (ตั๋วรถไฟ Ollantaytambo – Aguas Calientes ก็จองตอนอยู่สนามบิน LAX ด้วยซ้ำ 555) ทำให้ผมไม่มีโอกาสจองตั๋วเข้ามาชูปิกชูได้ทันเวลา ต้องมาหาเอาหน้างาน
พูดถึงตั๋ว การเดินทางไปถึงมาชูปิกชูได้ ต้องจองสามอย่างครับ อย่างแรกคือตั๋วรถไฟ ซึ่งก็ได้เกริ่นไปแล้ว อย่างที่สองคือตั๋วรถบัสจาก Aguas Calientes ขึ้นไปยังตัวอุทยานของมาชูปิกชู (ไปกลับ คนละ 20 USD) และอย่างที่สาม ซึ่งก็แพงไม่แพ้กันเลย ก็คือตั๋วเข้าอุทยานนั่นเองครับ สามารถจองผ่านเวบได้ที่เวบของทางการเอง
ในอุทยานมาชูปิกชู จะมีให้เลือกจองได้หลายแบบ แบบแรกคือตั๋วเข้าชมมาชูปิกชู คนละ 126 soles ซึ่งในแต่ละวัน จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าได้ 2,500 คนเท่านั้น และสามารถเลือก option อื่นเพิ่มได้ เช่น ซื้อพร้อมกับตั๋วชมพิพิธภัณฑ์ หรือซื้อพร้อมกับตั๋วขึ้น Huayna Picchu ซึ่งถ้าเป็นคนชอบผจญภัย ชอบปีนเข้าแล้วล่ะก็ ผมแนะนำเต็มที่เลยครับ เพราะ Huayna Picchu นั้นจำกัดคนขึ้นยิ่งเสียกว่า Machu Picchu อีก วันๆนึงเปิดให้ขึ้นได้สองรอบ คือ 7 โมง และ 10 โมง รอบละ 200 คน นั่นคือวันนึงมีคนได้สิทธิ์ขึ้น Huayna Picchu แค่ 400 คนเท่านั้น และต้องจองล่วงหน้าด้วยครับ เพราะมันเต็มเร็วมากๆ โดยเฉพาะช่วง high season หรือเดือนมิถุนายน กรกฏาคม อาจจะต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือนเลย เพราะด้วยเหตุที่ผมอยากขึ้น Huayna Picchu และผมแพลนว่าจะเดิน Huayna Picchu ในวันสุดท้าย ถือว่าให้ร่างกายปรับสภาพ และวันสุดท้ายจะเป็นการเดินที่หนักสุดในทริป หลังจากนั้นก็กลับ cusco และบินกลับอเมริกาในวันถัดไปเลย 555 นั่นทำให้ผมต้องมาง่วนกับการจองล่วงหน้าครับ
แต่ผมขอบ่นหน่อยว่าทางการเปรูทำเวบได้ห่วยมากกกกก ตัวเวบใช้ flash ทั้งหมด เวลาจอง กรอกข้อมูลลำบากหน่อย ใช้ autocomplete ไม่ได้ และอุปสรรคสำคัญที่สุดคือตอนจ่ายเงินครับ ผมจ่ายด้วยบัตรเครดิตที่ผมมีทั้งหมดในกระเป๋าทั้ง 5 ใบ ก็ถูกตีกลับหมดเลย สุดท้ายโชคดีที่เพื่อนคนนึงโทรคุยกับธนาคารระหว่างกดจองเลย ให้ธนาคารเชคว่ามียอดขึ้นมาหรือไม่ และสุดท้ายก็ผ่านครับ ได้ตั๋ว Huayna Picchu สมใจ ราคาตั๋ว Machu Picchu + Huayna Picchu 150 soles แพงกว่าปกตินิดเดียว แต่รับรองว่าถ้าไม่กลัวความสูง และร่างกายพร้อม คุ้มแน่นอนครับ
แม้ว่าวันสุดท้ายผมจะมาที่มาชูปิกชูอยู่แล้ว ไหนๆผมก็ถ่อมาถึงเปรูแล้ว เลยจัดเข้ามาชูปิกชูสองวันเลยครับ (หมดไปเกือบ 300 soles ต่อคน บวกค่ารถบัสอีกสองรอบ 40 USD เฮือกกกกก) จริงๆที่อยากมาสองวัน เพราะตั้งใจมาถ่ายภาพครับ อยากเผื่อหากอากาศไม่ดีด้วย เข้าสองวัน อย่างน้อยก็มีโอกาสถ่ายสองครั้ง อากาศมันคงไม่แย่ทั้งสองวันจริงไหมครับ (ปลอบใจตัวเอง)
หากไม่ได้ซื้อตั๋วเข้า Machu Picchu มาแบบผม (วันแรกของมาชูปิกชู ผมยังไม่มีตั๋ว) สามารถหาเอาหน้างานได้ครับ แต่ต้องซื้อจากสำนักงานใน Aguas Calientes เท่านั้นนะครับ ข้างบนเขา บริเวณทางเข้า ไม่มีตั๋วขาย ถ้าขึ้นไปแล้วไม่มีตั๋ว ก็ต้องนั่งรถบัสลงมา และซื้อตั๋วรถบัสขึ้นไปใหม่นะครับ เสียเงินฟรีๆเลย ส่วนมากตั๋ว Machu Picchu น่าจะพอหาได้ไม่ยาก ในหน้า Low Season มาซื้อตอนเช้าแบบผมก็ได้ครับ สำนักงานเปิดตอนตีห้าครึ่ง ซื้อเสร็จปุ๊บก็ไปขึ้นรถต่อได้เลย แม้ว่าจะไม่ทันรถเที่ยวแรก แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ตั๋วรถบัสสามารถซื้อวันก่อนหน้าได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องมาซื้อตอนตีห้า แต่พอดีผมนั่งรถไฟรอบดึกมา ทุกอย่างปิดหมดแล้ว ต้องมาจัดการเอาหน้างานตอนเช้ามืดอย่างเดียว
นอนสามชั่วโมง แหกขี้ตาตื่นตีสี่ ซื้อตั๋ว รอรถบัส
เอาเป็นว่า เราวาร์ปการขึ้นรถบัส และมาโผล่ที่มาชูปิกชูเลยแล้วกัน ฮาาาาา
ขึ้นมาปั๊บ ฟร้ากกกก
หมอกอย่างเยอะเลย พับผ่าสิ 555
ช่วงเช้าๆในหน้าฝน (เดือนธันวาถึงมีนา) อากาศก็จะเป็นแบบนี้ครับ
พอสายๆหมอกจะเริ่มจาง แต่นักท่องเที่ยวเริ่มมากันให้พรึ่บบบบบบ ถ่ายรูปไม่ออกเลย ฮาาาาา
ยอดที่เห็นด้านหลังนั่นแหละครับ มันคือ Huayna Picchu เห็นชัดเลยว่ามันตั้งดิ่งขนาดนี้ ทางขึ้นไปบนยอดนั้นมันจะชันขนาดไหน
ไหนๆมันก็คือไฮไลต์ของทริป ก็ต้องมีภาพหมู่กันสักหน่อยนะครับ (ใช้ gopro ถ่าย)
หากเข้ามาในตัวอุทยาน ให้เดินชิดซ้ายไปเรื่อยๆ เดินขึ้นเนิน จะเห็นกระท่อมเฝ้ายาม ตั้งอยู่ในจุดสูงที่สุด และพวกผมก็ปักหลักถ่ายกันตรงนี้ตั้งแต่หกโมงครึ่ง ลากยาวไปถึงสิบโมงเลยครับ 5555 ไหนๆมาแล้วก็เอาให้คุ้มครับ พอใกล้เที่ยง เราก็ลงกลับไปที่ Aguas Calientes เพื่อนอนเอาแรง นอนกันทั้งบ่ายเลย 555 เพราะเมื่อคืนนอนกันน้อยมากๆ
ตอนช่วงบ่าย เราเดินเล่นในเมืองกันนิดหน่อย พอมีภาพบรรยากาศมาให้ดูเล็กน้อย เมือง Aguas Calientes ไม่ค่อยสวยครับ เรียกว่าแย่เลยก็ว่าได้ มันเหมือนสลัม มันเหมือนเมืองที่ยังสร้างไม่เสร็จ กำแพงยังไม่ได้ฉาบปูน บางตึกกำแพงยังไม่ได้ก่อเลย คนก็เข้าไปอยู่กันแล้ว มันเหมือนเมืองที่เศรษฐกิจพังยังไงไม่รู้ครับ แต่เมืองนี้ก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนนักท่องเที่ยว ความย่ำแย่จากการขูดรีดนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว สินค้า อาหาร ของที่ระลึกราคาแพง อย่างอาหารก็ไม่ได้อร่อยเท่าที่ cusco ด้วยราคาที่แพงกว่าสองเท่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ผมประทับใจ Aguas Calientes เหมือนเท่ากับที่ Cusco ครับ
มาที่เมือง Aguas Calientes ผมโดนขูดรีดไปรอบนึงครับ ปกติที่เปรู เขาจะไม่คิดภาษีกับนักท่องเที่ยว แต่ผมโดนร้านอาหารชาร์จ Machu Picchu tax ครับ งงๆว่ามาได้ไง มันก็เป็นวิธีนึงที่เขาจะหาเรื่องสูบเงินจากนักท่องเที่ยวอย่างเราๆนี่เอง ถ้าไม่จ่ายเขาก็ไม่ให้ออกจากร้าน ถ้าให้ดี เราต้องตกลงกับพนังงานร้านตั้งแต่ตอนสั่งอาหารเลยว่า ราคาเท่านี้ บิลต้องออกมาเท่านี้ ห้ามชาร์จอะไรเพิ่ม แม้แต่ Machu Picchu tax ก็ห้าม หากทางร้านตกลงกันแล้ว หากเขายังชาร์จเพิ่ม เราก็มีสิทธิ์ทักท้วงได้โดยไม่ผิดครับ
เที่ยวเปรู ผมเปลืองเงินกับเมืองนี้มากที่สุดครับ แม้ค่าที่พักจะถูกก็ตาม แต่ค่าครองชีพไม่ถูกเลยครับ
23 มีนาคม
วันนี้เรียกได้ว่าเป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว เพราะพรุ่งนี้ผมก็ต้องเดินทางกลับบ้าน และใช้เวลาเดินทางทั้งวัน โปรแกรมคร่าวๆของวันนี้คือ เดินขึ้น Huayna Picchu รอบสิบโมงเช้า วันนี้ผมไม่รีบตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อขึ้นมารอชมวิวที่มาชูปิกชูแล้วครับ ออกสายมากๆ เกือบเจ็ดโมง เพราะรู้ซึ้งแล้วว่า มาเช้าก็ไม่ช่วยอะไร หมอกเยอะ ไม่เห็นอะไรอยู่ดี ซึ่งก็ตัดสินใจถูกครับ วันนี้หมอกเยอะกว่าเมื่อวานมากๆ แม้จะเกือบเก้าโมง หมอกก็ยังไม่จางหายไป โดยเฉพาะยอดเขา Huayna Picchu ที่อยู่ในหมอกตลอดเวลาเลยทีเดียว ผมแอบสงสารคนที่ขึ้นรอบเจ็ดโมง คงมองไม่เห็นอะไรเลย วันนี้ผมเตรียมพร้อมเดินมากครับ ไม่เอาขาตั้งกล้องมา และก็ไม่ลืมที่จะหนีบกล้อง Gopro ติดมาด้วย เอาเป็นว่าเรามาดูภาพบรรยากาศกันเลยครับ
จากภาพจะเห็นได้เลยครับว่าทางมันไม่โหดมากจนเกินไป มีแค่ช่วงบนยอดเท่านั้นที่เส้นทางเป็นบันไดแคบๆและชันมาก แต่ช่วงทางขึ้นนั้นปลอดภัย ทางเดินกว้าง สามารถเดินสวนกันได้ แต่ข้างบนจะเป็น loop ครับ บังคับเดินทางเดียว หากใครกลัวที่แคบ กลัวความสูง หรือสภาพร่างกายไม่พร้อมเดินขึ้นเขาแบบไม่หยุด และขาลง ก็ลงไม่หยุดเช่นกัน ก็ไม่แนะนำให้มาถอดสังขารทิ้งไว้ที่นี่นะครับ
ตอนแรกผมเข้าใจว่า หากเดินขึ้นรอบ 10 โมง เราจะได้อยู่บน Huayna Picchu ตลอดบ่าย แต่จริงๆไม่ใช่ครับ ยังไม่ทันจะบ่ายโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ไล่เราลงมาแล้ว (ผมเพิ่งเดินถึงได้แป๊บเดียวเองนะเฮ้ย) เจ้าหน้าที่มีอยู่สองสามคนครับ ฟิตมากๆ เดินคุมปิดท้ายตลอด คนเหล่านี้เดินขึ้นลงเขาลูกนี้ทุกวัน นับถือจริงๆครับ ร่างกายฟิตมากๆ และก็เดินไวมากๆด้วย สรุปคือผมได้อยู่บนยอด Huayna Picchu แค่ชั่วโมงนิดๆเอง ก็ไม่ต่างจากกลุ่มที่เริ่มเดินตอนเจ็ดโมงเช้าสักเท่าไหร่ กลุ่มแรกนี้ก็ต้องถูกไล่ให้ลง ก่อนที่กลุ่มสิบโมงเช้าจะเดินขึ้นไปครับ ที่ต้องจัดเป็นสองรอบ และจำกัดจำนวนคน เพราะต้องควบคุม traffic ไม่ให้แน่นจนเกินไป ข้างบนทางแคบมาก เดินกันได้ช้าครับ
ที่จุดเริ่มเดินเข้า Huayna Picchu จะมีทางเข้าจัดเป็นสัดเป็นส่วนครับ ขาเข้าก็ลงชื่อ ลงเวลา เมื่อกลับลงมาแล้ว ก็ต้องลงเวลาออกเช่นกัน ระบบรัดกุมมากๆ เจ้าหน้าที่จะตามเชคตลอดครับ ไม่มีหลุดรอดแน่นอน
แถมวีดีโอครับ
หลังจากลากสังขารลงมาจาก Huayna Picchu แบบขาสั่นไม่หยุด พวกผมเดินเล่นใน Machu Picchu อีกประมาณชั่วโมงนึง และขึ้นรถกลับ Aguas Calientes ราวๆบ่ายสามครึ่ง กลับไปเก็บของที่ hostel และนั่งรถไฟรอบเย็นกลับไปยัง Ollantaytambo ซึ่งผมถึง Ollantaytambo ประมาณเกือบสองทุ่ม และผมเองก็นัดรถ taxi ที่ผมใช้บริการในวันก่อนให้มารับ เขาคิดแพงหน่อยที่ 100 soles แต่ก็ถือว่าโอเคสำหรับผม เพราะผมไม่อยากติดอยู่ที่ Ollantaytambo ในคืนนี้ เพราะตีห้าของวันรุ่งขึ้น ผมต้องขึ้นเครื่องจาก Cusco กลับลิม่า และต่อไฟลท์กลับอเมริกาตอนสิบโมงครับ เรียกได้ว่าโปรแกรมแน่นมากๆเลยทีเดียว และผมอยากให้ taxi ไปส่งที่ Hostal Wara Wara ที่อยู่บนเนินด้วย จะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าครับ ถ้าผมนั่งรถประจำทาง ส่วนมากจะจอดที่ plaza de armas
หากใครที่เกรงว่าถ้ามาถึง Ollantaytambo ตอนมืดค่ำ จะไม่มีรถกลับ Cusco ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ที่นี่มีคิวรถตู้ และยังมีรถบัสทั่วไปบริการ คนละ 15 soles เช่นเคย และก็ยังมีพวก taxi ที่คอยมาเรียกลูกค้าทันทีที่รถไฟเทียบชานชาลาเลยครับ อยู่ที่ว่าเราจะจ่ายมากจ่ายน้อย เอาความสะดวกและความรวดเร็วแบบไหน หากไปรถตู้ ก็ต้องรอให้รถเต็ม รถถึงจะออก (แต่ช่วงที่รถไฟเข้า คนลงเยอะ ไม่น่ารอนาน) แต่ taxi ก็จะได้เปรียบตรงที่ไม่ต้องรอครับ
และผมก็ปิดท้ายวันนี้ด้วยมื้อเย็นตอนสี่ทุ่ม ที่ร้าน Inca Grill ซึ่งอยู่ตรง plaza de armas ครับ หาไม่ยาก แต่ผมว่า Pacha Papa อร่อยกว่าครับ เป็นการปิดทริปเปรูอย่างสมบูรณ์ครับ
24 มีนาคม
เราแหกขี้ตาตื่นกันแต่เช้า จริงๆก็ได้นอนน้อยมาก เพราะกว่าจะกลับจากร้าน inca grill เดินขึ้นเนินกลับโรงแรม และก็จัดกระเป๋าอีก พอตีสี่ก็ต้องออกมาสนามบินแล้ว ในขากลับนี้ผมเลือกบินกับ LAN ครับ เพราะว่ามีไฟลท์กลับลิม่า ออกเช้าสุดตอน 5.50 และถึงลิม่าตอน 7.15 ส่วน Avianca จะมีไฟลท์หลังหกโมงครับ ผมอยากได้ไฟลท์เช้าสุดเพราะอยากได้เวลาเผื่อไว้ที่ลิม่าสำหรับการต่อเครื่องกลับแอลเอตอนสิบโมงเช้า ตอนมาถึงสนามบินที่ cusco ตอนแรกผมเผื่อเวลาไว้ชั่วโมงครึ่งสำหรับเชคอิน แต่ปรากฏว่าไม่พอครับ คนเยอะมากๆ มีนักท่องเที่ยวรอต่อคิวเพื่อโหลดกระเป๋ากันเยอะมาก โชคดีที่ผม save boarding pass เป็น pdf ลงในมือถือมาก่อนแล้ว ทำให้ได้ลัดคิวไปอีกแถวนึง ซึ่งไม่มีคนเลย การเชคอินและเตรียมตัวล่วงหน้า แม้จะเก็บไฟล์เป็น electronics ไว้ในมือถือเรา บางครั้งในสถานการณ์คับขันก็ช่วยได้มากครับ
ไฟลท์จาก Cusco บินกลับลิม่า จะผ่านภูเขาสูงหลายลูก วิวสวยทีเดียวครับ
ที่ลิม่า ผมก็ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองขาออกอีกครั้ง ไฟลท์กลับแอลเอก็บินผ่าน San Salvador เช่นเคยครับ แต่คราวนี้ผมต้องแวะต่อเครื่องถึง 7 ชั่วโมง แต่ก็อาศัยบัตร Star Alliance Gold เข้าไปนั่งใน Lounge ได้ฟรี (แม้ว่า lounge จะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ เหมือนกับสนามบิน) กว่าจะถึงแอลเอก็เที่ยงคืน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกา ถึงบ้านก็ดึกมากๆครับ
ผมไม่ค่อยได้ลงรายละเอียดไว้มากเท่าใดนัก เนื่องจากไม่อยากให้ยาวเกินไป หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถทิ้งคำถามไว้ใน comment ได้ครับ
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณน้องขุน น้องปอ เพื่อนเจ พี่อ๊อบ พี่เบญ พี่จอยซ์ ที่ช่วยให้ข้อมูลการเดินทางนะครับ
ขอบคุณกระทู้พันทิปและ trekkingthai สำหรับรีวิวดีๆครับ โดยเฉพาะกระทู้ของน้องขุน รายละเอียดจัดเต็มมากๆครับ มีทั้งหมด 17 ตอน และในตอนที่ 17 ก็มี link ไปตอนอื่นๆครบเลยครับ
ที่ขาดไม่ได้ ต้องขอบคุณสายการบิน avianca ถ้าไม่มี deal ตั๋วราคา $298 ผมคิดว่าทริปนี้คงไม่เกิดแน่นอน แม้ว่าผมยังมีปัญหากับการสะสมไมล์กับสายการบินนี้อยู่ 55555