สำหรับรีวิวนี้ จะเป็นรีวิวสั้นๆ พาไปสัมผัสความเรียบง่ายแบบมินิมอล แต่ดูหรูของ Finnair Business Class ซึ่งที่นั่งตัวนี้ไม่ใช่แบบล่าสุด รีวิวเน้นรูป รูปเยอะเหมือนเคย
Flight
Aircraft: Airbus A350-900
Flight number: AY143
Time: 045 – 16.25 (+2)
Seat: 7A
ค่าใช้จ่าย 60,000 ไมล์ แลกจาก Alaska Airlines มีค่าธรรมเนียม 57.80 USD ซึ่งเป็นเรทไมล์ที่ไม่แย่เลย สำหรับเส้นทางนี้ ส่วนไมล์ก็เก็บมาเรื่อยๆ บวกซื้อเอาตอนมีโปร ผมสอยแค่ 3 สัปดาห์ล่วงหน้า แต่ถ้าแลกล่วงหน้านานหน่อย เส้นทางนี้แลกไม่ยากนัก
ปัจจุบันในปี 2023 นี้ Finnair long-haul fleet มีเครื่องสองแบบคือ Airbus A330-300 และ Airbus A350-900 มีชั้นธุรกิจอยู่ 3 แบบ
แบบที่นั่งโทนขาว เป็นแบบ reverse herringbone หันออกจากทางเดิน จัดที่นั่งแบบ 1-2-1 มีในเครื่อง A350 ซึ่งเป็นแบบที่อยู่ใน blog ตอนนี้
แบบที่นั่ง staggered มีในเครื่อง A330 จัดที่นั่งแบบ 2-2-1 และมี throne seat จะคล้ายๆกับที่การบินไทยมีในเครื่อง A330 เช่นกัน
และสุดท้าย เป็นที่นั่งแบบใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2022 นี้เอง เรียกว่า Airlounge โทนสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งตอนที่ผมบิน ที่นั่งแบบใหม่นี้ยังไม่ได้เอามาให้บริการในเส้นทางกรุงเทพ-เฮลซิงกิ แต่ตอนนี้มีแล้วครับ ตัวที่นั่ง Airlounge หรือที่ฝรั่งชอบเรียกว่า cocoon จะเป็นแบบที่เบาะเอนไม่ได้ ไม่มีกลไกไฟฟ้า พบได้ในเครื่อง A350 และ A330 ณ วันที่เขียน blog นี้ A350 มี Airlounge 8 จาก 16 ลำ และ A330 มี 4 จาก ลำ (ภาพตัวอย่างจากสายการบิน)
กลับมาที่ Business Class แบบดั้งเดิมของ A350 ที่เป็นแบบโทนขาวกันบ้าง รีวิวนี้จะสั้นหน่อยนะครับ เพราะสลบเหมือดเกือบตลอดทั้ง flight เลย 5555 พลาดกินอาหารไปมื้อนึงด้วย
สำหรับ Finnair Business Lounge จะอยู่ในโซนเชงเก้นครับ ถ้าเข้า Lounge แล้วจะต้องผ่าน ตม. ก่อนไปถึง Gate ซึ่งตัว Lounge นั้นตกแต่งได้สวยงามทีเดียวเลย ตัว Lounge ใหญ่พอควร และมี shower บริการด้วย แต่การจัดคิวจะดูวุ่นวายนิดนึง และความสะอาดไม่ค่อยดีนัก
เข้ามา สิ่งแรกที่เจอคือ การตกแต่งเพดาน ซึ่งสวยและอลังการมาก
ขึ้นเครื่องกันเลย ผมได้ที่นั่งริมหน้าต่าง 7A ตัวที่นั่งติดริมทางเดิน และมีความเป็นส่วนตัว
ที่นั่งแบบ reverse herringbone นี้ไม่ได้แปลกใหม่มาก เพราะหลายๆสายการบินก็ใช้กัน เช่น EVA ที่มีใน Boeing 777
จอภาพที่เห็นนี้ก็สามารถเปิดออกมาได้ ให้เราดูจอภาพได้สะดวกขึ้น
ผมชอบการแสดงผล timeline ของเที่ยวบินนี้มากครับ มีบอกว่าใช้เวลาเดินทางกี่นาที เสิร์ฟอาหารมื้อแรกเมื่อไหร่ และมื้อก่อน landing เมื่อไหร่ ซึ่ง interface อันนี้จะคล้ายๆกับของ ANA the Room ที่เพิ่งรีวิวไป
มาดูตัวที่นั่งกันบ้าง ด้านซ้าย จะมีรีโมท ไฟอ่านหนังสือ ช่องเสียบหูฟัง ช่องเสียบ USB ปลั้กไฟ และ panel ควบคุมที่นั่ง ด้านในมีช่องเก็บของ ซึ่งมีที่เอาไว้แขวนหูฟังด้วย
โต๊ะทางด้านข้าง ด้านล่างเป็นที่เก็บโต๊ะอาหาร กระเป๋าในภาพคือ Amenity Kit ครับ ลืมแกะมาถ่ายให้ดูว่าข้างในเป็นอะไร ลายที่ใช้เป็น theme เดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหมอน และ amenity kit ด้วย
ดูภาพรวมของ Seat อีกครั้งนึง คุมโทนดีมากๆครับ สวย เรียบหรู
ภาพรวมของ cabin ครับ คนเยอะหน่อย ถ่ายตอนกำลัง boarding เคบินโทนสีขาวเทาทั้งหมดเลย ดูสะอาดมาก
ด้านล่างโต๊ะ มีช่องเสียบหนังสือ หรือ safety card และมีช่องวางขวดน้ำ
ทางด้านขวา ริมทางเดิน มีช่องเก็บของเล็กๆ และที่พักแขน
Welcome drink ของผมขอแค่น้ำเปล่า board ขึ้นเครื่องมาก็จะตีหนึ่งแล้ว ง่วงมากๆ ถ่ายมาให้ดูว่าแก้วสวยดีครับ
เมนูอาหารบนเที่ยวบินนี้ ผมพลาด สลบไปเสียก่อน และไม่ได้แจ้งลูกเรือว่าจะขอ skip meal ขอให้เก็บอาหารไว้ ตื่นมาอีกทีกลางเที่ยวบิน ลูกเรือบอกว่าเหลือแค่ breakfast แล้ว เพราะถ้าไม่ได้แจ้งไว้ก่อน อาหารจะถูกอุ่นแล้ว และไม่สามารถมาเสิร์ฟอีกรอบได้
ผมไม่ได้แม้แต่จะเอนเตียงให้ราบ หลับไปอย่างนั้นเลย เหมือนนั่ง economy ไปครึ่ง flight 5555
ขออภัยรูปอาจจะอ่านยากหน่อย เมนูจานหลักมี rainbow trout และไก่ ฟังดูน่าทานทีเดียว ส่วนผมมีแค่ breakfast มาให้ชมกันครับ 55
สังเกตว่า ที่รัดช้อนส้อม ก็จะเป็นลายเดียวกับ amenity kit เลยครับ ที่ผมชอบ design ที่สุดน่าจะเป็นแก้วน้ำ แก้วลายสวยมากๆ ทั้งแก้วทรงสูง และแก้วน้ำส้ม
สำหรับ service ต่างๆก็ดีมากๆครับ ลูกเรือช่วยเหลืออำนวยความสะดวกดีมาก สุภาพ และเป็นมืออาชีพ มีลูกเรือไทยด้วยครับ
ใกล้ถึงกรุงเทพแล้ว ให้ดูว่า legroom ประมาณไหนครับ
บทสรุป Finnair Business Class ที่นั่งแบบ Reverse Herringbone
- ที่นั่งดีตามมาตรฐาน ใช้แบบ Reverse Herringbone ซึ่งทุกที่นั่งติดริมทางเดิน ฟังก์ชันครบ
- โทนสีขาว ตัดสีน้ำเงินของหมอน เรียบสวย ดู minimal ดี
- ดีไซน์ของต่างๆ ทำได้น่าสนใจ มี theme ดีครับ ทั้ง amenity kit หมอน และกระดาษ ที่รัดช้อน ห่อต่างๆ