California เป็นรัฐที่ใหญ่มาก แค่ขนาดของรัฐนี้รัฐเดียวก็ใหญ่กว่าประเทศไทยแล้ว เลยมีที่เที่ยวเยอะมากๆๆ แค่ได้มา Yosemite ที่เดียวก็คุ้มค่าแล้วครับ สถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ดังๆส่วนมากจะแบ่งเป็น 3 โซน เริ่มด้วยภูเขาตามแนวเทือกเขา Sierra Nevada อย่าง Kings Canyon, Yosemite, Mammoth Lakes ถัดออกไปทางตะวันออกก็จะเป็นทะเลทราย เช่น Death Valley, Joshua Tree และสุดท้ายคือทางติดทะเล คนนิยมขับรถเที่ยวตามแนวเส้นทาง Highway 1 ซึ่งจะเลาะริมทะเลยาวตั้งแต่ San Diego ยาวขึ้นไปสุดถึง Redwood National Park และเลยเข้า Oregon ต่อไปครับ
บทความนี้เป็นหนึ่งในซีรีส์ทั้งหมด 8 ตอน ที่มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหมด 9 รัฐ สำหรับ link ตอนอื่นๆสามารถติดตามได้จากด้านล่างนี้ครับ
ตอนที่ 1: Washington
ตอนที่ 2: Oregon
ตอนที่ 3: California
ตอนที่ 4: Montana
ตอนที่ 5: Wyoming
ตอนที่ 6: Colorado
ตอนที่ 7: Nevada + Arizona
ตอนที่ 8: Utah
เมืองใหญ่ๆของ California จะมีหลักๆสองเมืองคือ Los Angeles กับ San Francisco ซึ่งตัวผมเองอยู่ Los Angeles หรือแอลเอมาสี่ปีกว่าๆ ผมแทบไม่ได้เที่ยวรอบๆเมืองแอลเอเลย เพราะว่าการเที่ยวในตัวเมืองไม่มีอะไรที่ตรงแนวผมสักเท่าไหร่ ถ้าคนชอบถ่าย cityscape ผมว่าซานฟรานสวยกว่ามาก มีมุมให้ถ่ายเยอะมาก คนส่วนมากที่มาแอลเอก็จะแวะ Santa Monica Pier, Universal Studio, Hollywood หรือ Disneyland จะขับรถลงเลยไปทางใต้หน่อยก็มี San Diego หรือไปทางตะวันตกก็มี Santa Barbara แต่ผมเองเลือกที่จะขับรถออกไปหาธรรมชาติรอบๆมากกว่า เช่น ขับไป Death Valley national park ใช้ระยะเวลาสี่ชั่วโมง หรือไป Yosemite ก็หกชั่วโมง แต่ถ้ามาจากซานฟราน ขับเข้า Yosemite จะใช้เวลาสามชั่วโมงเศษๆครับ รอบๆแอลเอจะมีชายหาดน่าสนใจอยู่หลายที่เลย ที่ๆผมไปบ่อยมากคือ El Matador State Beach อยู่ใน Malibu และแถวๆ Newport Beach เรื่อยไปถึง Laguna Beach ก็มีหินสวยๆให้ถ่ายเหมือนกัน
El Matador State Beach
Corona del Mar Beach
ว่ากันด้วยอุทยานแห่งชาติ Yosemite ก่อนเลย อุทยานนี้เป็นอุทยานที่ผมมาบ่อยที่สุด น่าจะเกิน 15 รอบ เกินจนเลิกนับไปแล้วครับ 5555 จุดขายหลักของที่นี่คือ Yosemite Valley ซึ่งจะรายล้อมไปด้วยหน้าผาสูงรอบด้าน 360 องศา ใครชอบ hiking ก็มีเทรลเพียบ ตั้งแต่แบบสั้นๆไปจนถึงแบบสุดมันส์อย่างการขึ้น half dome (ปัจจุบันต้องขอ permit แล้ว) แต่ถ้าใครอยากเน้นขับรถจอดๆถ่ายๆก็มีจุดชมวิวให้ถ่ายได้ 2-3 วันไม่มีเบื่อครับ และที่นี่ก็เที่ยวได้ทุกฤดูอีกด้วย แต่ละฤดูกาลก็จะมีความน่าสนใจต่างๆกันไป ฤดูที่ผมว่าไม่น่าเที่ยวที่สุดก็คือฤดูร้อนครับ ช่วงเดือนกรกฏาคมจนถึงกันยายน เพราะเป็นช่วงที่แห้ง แดดแรง น้ำตกก็ไม่มีน้ำ แต่ช่วงนี้จะเหมาะสำหรับการเดิน backpacking ระยะทางไกลๆตามแนวเทือกเขา Sierra Nevada อย่างเช่นแถวๆ Mammoth Lakes หรือ Kings Canyon National Park ครับ ส่วนฤดูที่ผมชอบที่สุดก็คือฤดูหนาวครับ ผมชอบสีขาวที่แต้มบนหน้าผาและต้นไม้มากๆ มันดูคลาสสิคสุดๆ แต่ถ้าจะเอา perfect shot จะต้องมาวันที่พายุหิมะเข้าพอดี เรียกได้ว่าขับรถฝ่าพายุหิมะกันเข้ามาเลย 55 ถึงจะได้หิมะเกาะต้นไม้เป็นปุยสวยงามครับ เพราะถ้าผ่านไปแค่ราวๆครึ่งวัน แสงแดดอาจจะทำให้หิมะที่เกาะอยู่บนต้นไม้ละลายและร่วงหล่นไปได้มากทีเดียว
Valley View หลังพายุหิมะ หินทุกก้อนตามริมแม่น้ำมีหิมะปกคลุม ดูเหมือน Marshmellow น่ากินมาก 55
จุดชมวิวใน Yosemite Valley หลักๆ เรียงตามความชอบส่วนตัวคือ Tunnel View, Valley View, Cathedral Beach, Swinging Bridge, River Bend, Cook’s Meadow, Sentinel Bridge และขอแถม Glacier Point อีกอันนึง ถึงแม้จะอยู่นอก Yosemite Valley แต่ Glacier Point ก็เป็นมุมสูงที่มองลงมาเห็น Yosemite Valley เหมือนกัน
Tunnel View จุดที่มาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด ในช่วงหน้าหนาว แสงเช้าจะฉาบหน้าผา El Capitan ทางด้านซ้ายของภาพ
Valley View กับเงาสะท้อนของ El Capitan และ Cathedral Rock บนแม่น้ำ Merced
Glacier Point เห็น Half Dome มุมด้านข้าง ยิ่งใหญ่มากๆ
ถ้ามาช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน จะได้ทางช้างเผือกโค้งเหนือ Half Dome ครับ เป็นอีก bucket list นึงสำหรับผมเลย
นอกจากนี้ Yosemite ก็ยังมีปรากฏการณ์ที่จะเห็นได้เฉพาะบางช่วงเวลาของปีอีกด้วย อย่างเช่น Horsetail Firefall ซึ่งจะเห็นได้แค่ช่วงเวลาสองอาทิตย์ของเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะทำมุมอย่างพอดิบพอดีตอนช่วงพระอาทิตย์ตก ทำให้แสงสีส้มแดงสาดบนน้ำตกดูเหมือนเป็นน้ำตกเพลิง เป็นลาวา ไหลลงมาจากหน้าผาครับ ซึ่งช่วงเดือนกุมภาของทุกปี ช่างภาพจากทั่วทุกสารทิศก็จะเดินทางมาที่นี่เพื่อชมปรากฏการณ์นี้โดยเฉพาะเลยครับ ส่วนอีกปรากฏการณ์นึงที่ผมอยากแนะนำคือ Moonbow ซึ่งคือการเกิดรุ้งจากแสงจันทร์บนน้ำตก Yosemite Falls นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยวันพระจันทร์เต็มดวง และจะเกิดได้ดีมากๆในฤดูใบไม้ผลิ เพราะเป็นช่วงที่หิมะละลาย และสายน้ำตกจะแรงเป็นพิเศษ ฉะนั้นวันที่เหมาะสมคือวันพระจันทร์เต็มดวงตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนมิถุนายนครับ ซึ่งทั้ง Horsetail Firefalls และ Yosemite Moonbow ก็เป็นปรากฏการณ์ที่อาศัยดวงอย่างมาก ต้องลุ้นอากาศให้แจ่มใส เพื่อที่จะเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้ครับ
Yosemite Firefall ปี 2016 น้ำเยอะกว่าปีอื่นๆ เพราะปรากฏการณ์ El Nino
Yosemite Moonbow ผมไม่ได้ถ่ายภาพปีนี้เพราะกลับไทยมาเสียก่อน แต่ปีนี้ก็น้ำเยอะมากๆ ถ้าใครอยากถ่าย ยังมีเวลาอีกสองเดือนในการไปเก็บ Moonbow ครับ ต้องไปวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
หากใครได้มีโอกาสขับรถผ่านถนน 120 ซึ่งตัดข้าม Yosemite ก็จะผ่าน Olmsted Point ซึ่งที่จุดนี้เราจะเห็น Half Dome ในอีกมุมนึง เป็นจุดที่ถ่ายพระอาทิตย์ตกที่สวยทีเดียว และถ้าขับต่อไปเรื่อยๆก็จะลัดเลาะหน้าผา ลงเขาสู่ที่ราบสูง Eastern Sierra และที่นี่ก็มีจุดถ่ายภาพเยอะมากๆที่หลายๆคนอาจจะมองข้ามไป คนส่วนมากจะแวะมาแค่ Yosemite Valley เท่านั้น แต่ถ้าได้ข้ามมาฝั่งตะวันออกก็จะมีอะไรให้ถ่ายอีกมากเลยครับ
ที่ Olmsted Point เราสามารถเห็น Half Dome จากด้านหลังได้
และถ้าใครชอบ backcountry hiking หรือเดินป่าแบบไกลๆ แนะนำให้มาตั้งต้นที่ Mammoth Lakes หรือ Bishop ได้เลยครับ เพราะภูเขาสวยๆอยู่ที่นี่มากมาย แต่ภูเขาเหล่านี้จะมองไม่เห็นจากถนนใหญ่ ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ผมมีโอกาสเคยได้ไปเดินทริปสั้นๆที่ Thousand Island Lake ซึ่งสวยมากๆ แต่เดินไกลสุดๆ ไปกลับ 24 กิโลเมตรครับ เดินกันขาลากเลยทีเดียว แต่วิวตรงนั้นมันฟินจริงๆ ถ้าใครสนใจเส้นทางอื่นๆ ผมแนะนำ Minaret Lake, Rae Lake, และ Granite Park ครับ
Thousand Island Lake เห็นยอด Banners Peak สวยมาก มุมนี้ไปกลับเดิน 24 กิโลเมตรครับ
Eastern Sierra สามารถไล่เที่ยวได้ตลอดเส้นทาง โดยมีถนนหลักคือถนนสาย 395 ซึ่งจะวิ่งจากแถวๆทางเหนือของแอลเอ เรื่อยไปถึง Lake Tahoe จุดท่องเที่ยวที่ผมแนะนำ (แบบไม่ต้องเดินไกลมาก) ได้แก่ Convict Lake, Bodie State Historic Park, Mono Lake, Bristlecone Forest, Mobius Arch, Big Pine River Bend โดยเฉพาะ Mono Lake กับ Bristlecone เป็นสองที่ที่ผมชอบมาก Mono Lake จะเป็นทะเลสาบที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง เพราะไม่มีทางออกของน้ำ ทำให้น้ำไม่ไหลเวียน ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสารหนู (arsenic) ใน DNA ของสิ่งมีชีวิต ก็มาจากทะเลสาบแห่งนี้นี่เองครับ และตะกอนของหินปูนในทะเลสาบนี้ก็ก่อตัวเป็นแท่งรูปร่างหน้าตาประหลาดที่เรียกว่า Tufa ครับ Tufa นี้มีหลายแบบเลย ตั้งแต่ Tufa ธรรมดา จนไปถึง Sand Tufa ซึ่งเกิดจากตะกอนหินปูนที่ฝังอยู่ในน้ำใต้ดินใต้ผืนทราย พอลมพัดทรายออกไป ก็จะเผย Sand Tufa ให้เราเห็นกัน ถ้าอยากเห็น Tufa ให้มาทางด้านใต้ของทะเลสาบนะครับ ส่วน Sand Tufa จะอยู่ที่ Navy Beach ซึ่งก็อยู่ทางตอนใต้เช่นกัน ขับรถออกไปไม่ไกลครับ ส่วนอีกสถานที่นึงที่ผมชอบและจะแนะนำคือ Bristlecone Forest ซึ่งที่นี่อยู่ในเขตภูเขาชื่อ White Mountain ใกล้ๆกับเมือง Big Pine และ Bishop และป่าแห่งนี้คือป่าของต้น Bristlecone ต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกครับ และรูปร่างของมันก็แปลกตาเอามากๆ หลายๆต้นมีลวดลายของกิ่งไม้และลำต้นที่สวยงาม การเดินทางก็ไม่ยาก ทางลาดยางถึง visitor center เลยครับ แต่อาจจะชันหน่อย
Convict Lake อยู่ใกล้กับเมือง Mammoth Lakes ไปง่าย รถถึงเลย
Limestone Tufa เป็นแท่งหินปูน พบได้ที่ Mono Lake ทางด้านใต้
Bristlecone ต้นไม้เก่าแก่หลายพันปี
หากเลยไปทางตะวันออกของเทือกเขา Sierra Nevada ก็จะเริ่มเข้าสู่ทะเลทราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน 48 รัฐ นั่นคือ Death Valley National Park (แต่ถ้านับทุกรัฐ อุทยานที่ใหญ่ที่สุดคือ Wrangell-St.Elias ที่อลาสก้าครับ) ใครที่คิดว่า Yellowstone ใหญ่ที่สุดต้องคิดผิดนะครับ ฮาาา และที่ Death Valley นี้ก็เป็นที่ตั้งของจุดต่ำสุดในอเมริกาที่ชื่อ Badwater basin อีกด้วย ชื่อฟังดูไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่ 555 ซึ่ง badwater นี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 86 เมตร และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ badwater อยู่ห่างจาก Mount Whitney ที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน 48 รัฐ เพียงแค่ 136 กิโลเมตรเท่านั้นเอง โดย Mount Whitney นั้นสูง 4421 เมตร เรียกได้ว่าไต่ระดับความสูงจากสี่พันกว่า ลงมาถึงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในระยะทางสั้นมากๆ เป็น extreme point ที่น่าสนใจทีเดียว
Salt Creek พบได้ตามริมถนน ระหว่าง Furnace Creek กับ Stovepipe Wells
เนื่องด้วยพื้นที่ในอุทยาน Death Valley นั้นกว้างมากๆๆๆๆๆๆ พื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่มีถนนเข้าถึง ถนนหลายเส้นเป็นถนนลูกรังบ้าง ถนนแบบ 4WD บ้าง แต่เส้นลาดยางจะมีเส้นหลักๆคือเส้น Hwy 190 ที่ตัดผ่านกลางอุทยาน และผ่าน Furnance Creek ซึ่งเป็นที่ทำการอุทยาน จุดชมวิวในตลอดเส้นทางลาดยางที่ผมแนะนำก็จะมี Mesquite Flat Sand Dunes, Zabriskie Point, และทะเลเกลือ Badwater Basin ถ้าใครชอบเดินหน่อยผมแนะนำ Cottonball Basin ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Furnance Creek ไปนิดหน่อย ที่นี่มีพื้นลวดลายสวยๆ และมีลำธารให้ถ่ายด้วย (ในภาพด้านบน) แต่เป็นลำธารที่น้ำเค็มนะครับ เพราะที่นี่เกลือเยอะมากๆ อย่าง Badwater basin นี่ก็คือทะเลเกลือ 100% นี่เอง สำหรับ Badwater basin ถ้าใครอยากได้รูปสวยๆ ผมแนะนำว่าไม่ควรไปจอดรถตรงจุดถ่ายรูปที่เค้าจอดไว้ครับ เพราะคนจะไปเยอะจนลวดลายเกลือถูกเหยียบเละหมดแล้ว ให้ขับเลยไปสัก 3-4 กม. จอดรถข้างทาง ในอุทยาน Death Valley นี้เราสามารถจอดรถตรงไหนก็ได้ ตราบใดที่เราไม่จอดเข้ามากินในเลนถนนครับ จากนั้นให้เดินเข้าไปในทะเลเกลือ จะมีโอกาสเจอลวดลายที่ดีกว่าครับ แต่บางทีลวดลายก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละปี เพราะปีที่ฝนตก ทำให้ทะเลเกลือมีน้ำขัง เกลือละลาย และพออากาศแห้งอีกครั้ง ผลึกเกลือก็จะสร้างตัวใหม่ พื้นที่เดิมที่เคยสวย ตำแหน่งที่สวยอาจจะเปลี่ยนไป ส่วน Mesquite Flat sand dunes ก็คล้ายๆกันครับ ถ้าไปตั้งต้นเดินจากลานจอดรถ จะเจอแต่รอยเท้าคนมากมายมหาศาล มากเสียจนถ่ายยังไงก็ติดรอยเท้าคน 555 ให้จอดรถข้างทางก่อนถึงทางแยกเข้าไป sand dunes สัก 3 กิโลเมตร แล้วก็เดินตัดเข้าไป dunes เลยครับ จะหามุมสวยๆไม่มีรอยเท้าคนได้ง่ายกว่า แต่ถ้าใครชอบแบบ private แนะนำให้เช่ารถ SUV ดีๆ ขับขึ้นไปทางเหนือไปที่ Eureka Dunes จะฟินกว่ามาก
Mesquite Sand Dunes
Cottonball Basin
Badwater Basin
ที่ Death Valley นี้ยังมีสถานที่อีกที่นึงที่น่าสนใจมากๆ นั่นคือ Racetrack Playa ซึ่งที่ racetrack นี้ก็ตั้งชื่อตามสิ่งพิเศษของที่นี่ นั่นคือหินที่ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ได้ พื้นของ playa นี้เป็นพื้นดินแห้งๆ แต่กลับมีรอยหินเดินได้ (ฝรั่งเรียก Moving rock หรือ Sailing rock) เหมือนก้อนหินนี้ถูกทำให้เคลื่อน ทั้งๆที่หินพวกนี้ก็หนักหลายสิบกิโลกรัม ปริศนาของ moving rock ถูกไขได้เมื่อไม่นานามานี้ครับ นักวิจัยได้ติด GPS ลงบนหินหลายก้อน และพบว่าหินพวกนี้จะเคลื่อนในสภาวะที่พิเศษมากๆก็ต่อเมื่อพื้นของ playa เปียก และอุณหภูมิลดต่ำลงมากจนเป็นน้ำแข็ง เมื่อเป็นน้ำแข็งแล้วก็เหมือนลานสเก็ตครับ และก็ต้องมีลมพัดแรงมากพอที่หินจะเคลื่อนที่ได้ด้วย ซึ่งผมมาที่นี่ทั้งหมด 4 ครั้ง ก็พบว่าร่องรองของหินมันเปลี่ยนไปจริงๆครับ การเดินทางจะค่อนข้างลำบากสักนิดนึง เพราะต้องขับรถไปบนถนนลูกรังเกือบๆ 2 ชั่วโมง ข้างในไม่มีร้านค้าสวัสดิการ หรือที่พักใดๆทั้งสิ้น ถ้าใครอยากได้แสงเช้าหรือแสงเย็นก็ต้องเตรียมตัวมากางเตนท์นอนครับ ผมแนะนำว่าต้องมาเห็นสักครั้งในชีวิต แล้วจะติดใจครับ ตัว moving rock จะพบได้ตามบริเวณด้านใต้ของ playa นะครับ ถ้าขับมาจากทางเหนือจะเห็น Grandstand หรือหินก้อนใหญ่ๆ ให้ขับต่อไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายเองครับ
Moving Rock หรือหินเลื่อนได้ เป็นปริศนามาหลายสิบปี ตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ไขปริศนานั้นได้แล้ว
ผมได้ลองถ่ายดาวหมุนกับก้อนหินดู เป็นภาพที่น่าสนใจดี แต่ผมไปช่วงหน้าหนาว อากาศหนาว -10 เซลเซียส กล้องติดๆดับๆ
ขับลงใต้ไปอีกหน่อย ราวๆช่วงด้านตะวันออกของ Los Angeles จะมีอุทยานแห่งชาติอีกแห่งนึงชื่อ Joshua Tree National Park จุดขายของที่นี่คือต้น Joshua Tree ซึ่งจริงๆแล้วก็เห็นได้ทั่วไปใน Southern Sierra หรือด้านตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอยู่แล้ว ไม่เฉพาะแค่ในอุทยานเท่านั้น ใครมา Los Angeles หรือกำลังขับรถจาก Los Angeles ไป Grand Canyon ก็อาจจะเพิ่มตัวเลือกแวะ Joshua Tree สักที่นึง เพราะไม่ไกลจากแอลเอมาก ประมาณ 3 ชั่วโมง (ไม่รวมรถติด 555) ถ้ามีโอกาสก็ต้องมาเก็บ Arch Rock อยู่ตรง White Tank campground และมาเก็บแสงเช้าที่ Cholla Garden หรือสวนตะบองเพชร แต่ต้องเดินระวังๆนะครับ เพราะตะบองเพชรพวกนี้มันแสบมาก ถ้าเกาะแล้วจะเกาะแน่น แถมแงะออกยาก มันจะแตกออกเวลาเราพยายามดึงมัน แตกเป็นหนามเล็กๆเหมือนกระสุนลูกปรายเลยครับ แสบจริงๆ อย่าได้คิดเวลามันทิ่มลงไปในเนื้อเชียวววว
Arch Rock กับทางช้างเผือก
แสงเช้าที่ Cholla Garden ตะบองเพชรหนามเยอะๆแบบนี้เวลาถ่ายย้อนแสงแล้วมันจะดูเรืองแสงฟูๆ น่ารักดีครับ (แต่โดนหนามทิ่มนี่ไม่น่ารักเลย)
ตัดข้ามมาโซนชายฝั่งทะเลกันบ้าง California ขึ้นชื่อเรื่องถนนเลียบทะเลที่โดนใจหลายๆคน ถนนสายนี้คือ Highway หมายเลข 1 นั่นเอง ลัดเลาะริมทะเลตั้งแต่แถวๆ Laguna Beach (ทางใต้ของ LA) เลาะไปทาง Santa Barbara, Big Sur, Monterey เรื่อยไปจนถึงด้านเหนือรัฐ แต่ทางต้นบนสุดอย่างเช่น Redwood national park จะเป็นถนนสาย 101 ที่เลาะริมทะเลแทน ช่วงที่ดังที่สุดของ Highway 1 คงหนีไม่พ้น Big Sur – Monterey ซึ่งผมเองก็ชอบมาถ่ายรูปที่นี่ประจำ เพราะมีโขดหินที่สวยงาม ไฮไลต์สุดๆคือ McWay Falls น้ำตกที่ไหลลงทะเล, Pfeiffer Rock หินที่จะมีมีแสงลอดรูตอนพระอาทิตย์ตกช่วงปลายปี, และ Canyon เล็กๆใน Garrapata State Park ที่ไม่มีชื่อ แต่เต็มไปด้วยดอกลิลลี่สวยมากๆ ถ้าเลข Monterey ขึ้นไปอีกหน่อยก็มี Natural Bridge ที่ Santa Cruz, Davenport ที่มีรอยหินแตกสวยๆ, และ Pigeon Point Lighthouse ประภาคารสุดคลาสสิคริมทะเล, เรื่อยไปถึง Bowling Ball beach ที่มีหินกลมๆสุดแปลก
McWay Falls
Pfeiffer Rock กับแสงอาทิตย์ลอดรู
Pigeon Point Lighthouse
Bowling Ball Beach หาดนี้กะระดับน้ำยากหน่อยครับ ตอนที่ผมไป น้ำขึ้นสูงไปนิดนึง ถ้าน้ำลงกว่านี้จะดีมากเลย
ทางด้านเหนือของ California ผมยังเที่ยวไม่หมดครับ เพราะมันขับรถไกลมากๆ ผมมีโอกาสได้ไปแค่ Mount Shasta และ Burney Falls แต่ของเด็ดๆอย่าง Lassen Volcanic National Park, Redwood National Park, Mossbrae Falls คงต้องเก็บไว้โอกาสหน้าๆ จะว่าไป Lake Tahoe ผมก็ยังไม่เคยไปถ่ายรูปจริงจังนะครับเนี่ย 555
Mount Shasta
ทิ้งท้ายด้วยแผนที่คร่าวๆสำหรับ California