สามรัฐสุดท้ายที่ผมจะกล่าวถึงจะเป็นดินแดนทะเลทรายที่กว้างใหญ่มากๆ นั่นคือ Nevada, Arizona และ Utah
บทความนี้เป็นหนึ่งในซีรีส์ทั้งหมด 8 ตอน ที่มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหมด 9 รัฐ สำหรับ link ตอนอื่นๆสามารถติดตามได้จากด้านล่างนี้ครับ
ตอนที่ 1: Washington
ตอนที่ 2: Oregon
ตอนที่ 3: California
ตอนที่ 4: Montana
ตอนที่ 5: Wyoming
ตอนที่ 6: Colorado
ตอนที่ 7: Nevada + Arizona
ตอนที่ 8: Utah
Nevada
เราเริ่มกันที่รัฐ Nevada กันก่อนเลย เอาจริงๆรัฐนี้เป็นรัฐที่ไม่มีอะไรให้เที่ยวเลยครับ ไม่มีอุทยานแห่งชาติที่สวยๆเมื่อเทียบกับที่อื่น นี่อาจจะเป็นเหตุผลนึงที่รัฐเปิดให้มีบ่อนการพนันได้อย่างถูกกฏหมาย และ Las Vegas ก็เป็นศูนย์รวมยักษ์ใหญ่ของแสงสีที่ดึงดูดนักเสี่ยงโชค รวมไปถึงคนที่อยากมาสนุกสุดเหวี่ยงเหล่านี้ด้วย ผมยังจำได้ดี เวลาที่ขับรถจากแอลเอไปที่ Las Vegas เวลาขับข้ามพรมแดนไปยังรัฐ Nevada จะสังเกตได้ไม่ยากเลย เพราะตอนที่ข้ามพรมแดนจะมีคาสิโนใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างสองรัฐแบบเป๊ะๆ เรียกได้ว่าต้อนรับนักเสี่ยงโชคกันเลยทีเดียว 555
ผมมาที่ Las Vegas เกินสิบครั้งได้ แต่ไม่เคยได้เที่ยวเมืองแบบจริงๆจังๆเสียเลย อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ติดใจกับแสงสีของที่นี่สักเท่าไหร่ สำหรับ Las Vegas ของผมแล้ว เป็นเมืองที่ไว้เป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวธรรมชาติที่อยู่รอบๆ เพราะจากที่นี่ จะขับไป Utah ไป Arizona ก็สะดวก Grand Canyon South Rim ก็ห่างไปราวๆ 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง และที่พักที่นี่ก็ถูกด้วย 5555 โรงแรมคืนละ $30 (ราคาถูกเพื่อดึงดูดให้คนมาเล่นการพนัน) แต่คุณภาพดีใช้ได้มีให้เลือกเยอะเลยครับ ผมเลยนั่งเครื่องบินมาลง Las Vegas ค่อนข้างบ่อย และก็ขับรถออกไปที่อื่นโดยที่ไม่ได้สนใจตัวเมืองเลย
ใครอยากหามุมถ่ายทางช้างเผือก ไปแถวๆ Valley of Fire ได้เลยครับ แต่ช่วงหลังได้ยินข่าวมาว่าทางเจ้าหน้าที่ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าหลังพระอาทิตย์ตกแล้ว
ถ้าใครมาที่ Las Vegas แต่มีเวลาน้อย ผมแนะนำ Valley of Fire State Park ครับ ที่นี่เป็น Park เล็กๆ หลายคนมักมองข้าม ห่างาจาก Las Vegas แค่ชั่วโมงเดียว แต่ Valley of Fire อัดแน่นไปด้วยหินหลากสี รูปร่างประหลาด น่าสนใจมากมาย ถ้าให้เที่ยวทุกจุดอาจจะใช้เวลาเต็มวันได้สบายๆ หรือถ้าช่างภาพอยากจะรอแสงสวยๆ ก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้ 2-3 วันเลยครับ ผมเคยรีวิวจุดถ่ายรูปไปบางส่วนในกระทู้ก่อนหน้า จุดที่ไม่ควรพลาดของที่ Valley of Fire State Park ก็ Fire Wave, Windstone Cave, Elephant Rock, และ Pink Canyon และนอกจากนี้ก็ยังมี Crazy Hills, Double Arch, White Tank, หินรูปโลโก้ Nike และจุดอื่นๆอีกเยอะมาก
Windstone Cave เป็น Arch เล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็กๆอีกที
Fire Wave
ภาพ Abstract จาก Pink Canyon
สำหรับขาผจญภัย ผมแนะนำทริปพายเรือคายัคในแม่น้ำ Colorado ครับ ขับรถจากเวกัสราวๆหนึ่งชั่วโมงดี เราตั้งต้นพายเรือจาก Willow Beach (จริงๆอยู่ในรัฐ Arizona) สามารถจัดทริปแบบวันเดียว หรือแคมป์ปิ้งหลายวันก็ได้ แต่ถ้ามีเวลาไม่มาก พายระยะสั้นๆ ขึ้นไปถึง Emerald Cave ก็ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามาในช่วงบ่าย จะได้มุมแสงตกกระทบที่เหมาะสม ทำให้น้ำกลายเป็นสีเขียวมรกต สวยมากๆครับ แต่ถ้ำจะเล็กนิดนึง เข้าได้แค่ 1-2 ลำ ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างก็จะทำให้ภาพออกมาสวยได้ดังใจครับ ผมใช้บริการของทัวร์นี้ครับ kayaklakemead.com
พายคายัคใน Emrald Cave สีเขียวๆที่เห็นนี้เป็นสีของแม่น้ำ Colorado ครับ ผมยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันเป็นสีเขียว น่าจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ
ทิ้งท้ายรัฐ Nevada ด้วยแผนที่ง่ายๆครับ เพราะทั้งรัฐไม่มีอะไรเลย 555 จุดท่องเที่ยวมีแค่ติ่งเล็กๆ ด้านใต้เท่านั้น
Arizona
การเดินทางมา Arizona สามารถบินมาลงที่ Las Vegas ได้ เพราะใกล้ Grand Canyon และรัฐ Utah ด้วย หรือจะบินลง Phoenix ก็ได้เช่นกัน หรือถ้าใครอยากขับรถมาจากแอลเอก็ใช้เวลาราวๆ 7-8 ชั่วโมงครับ ขับรถทั้งวันพอดี
สิ่งที่ดังที่สุดของรัฐ Arizona คงหนีไม่พ้น Grand Canyon อุทยานที่อลังการมากๆ แกรนด์แคนยอนเกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโคโลราโด ถ้านับจากหน้าผาลงไป มีความกว้างเกือบๆ 30 กิโลเมตร ลึกลงไปมากกว่า 6,000 ฟุตเลยทีเดียว นับว่าเป็นความยิ่งใหญ่ของกระแสน้ำที่สุดๆเลยจริงๆ ถ้านับตัวอุทยานแห่งชาติ Grand Canyon จะมีโซนที่เที่ยวชมหลักๆอยู่สองด้านคือ North Rim หรือแนวหน้าผาทางด้านเหนือของแม่น้ำ และ South Rim ซึ่ง South Rim จะดังกว่า และนักท่องเที่ยวเยอะกว่า ส่วน North Rim นั้นปิดในช่วงหน้าหนาว แต่ถ้าขับรถจาก Las Vegas มายัง North หรือ South Rim จะกินเวลานานประมาณ 5-6 ชั่วโมง ทัวร์ส่วนมากจะชอบพามา West Rim ซึ่งจะอยู่ในเขตของอินเดียนแดงแทน ที่เห็นว่ามีทางเดินกระจกยื่นออกไปนอกหน้าผานี่แหละครับ จริงๆ West Rim ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Grand Canyon เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเท่านั้นเอง ผมเองยังไม่เคยไป West Rim เพราะค่าเข้าแพง และวิวสวยสู้ South Rim กับ North Rim ไม่ได้
Grand Canyon South Rim จาก Mother Point ซึ่งผมรู้สึกเฉยๆกับมุมนี้มาก เอามาโพสให้ดู เทียบกับรูปด้านล่างครับ 55
ถ้านับจุดชมวิวทั่วทั้งอุทยาน ในเรื่องความสวยงามผมยกให้ Toroweap Overlook มาเป็นอันดับหนึ่งครับ รองลงมาเป็น Cape Royale ที่ North Rim และยกให้จุดชมวิวที่เหลือใน South Rim เช่น Yavapai point หรือ Mother point เป็นอันดับท้ายๆแล้วกัน 55
การเดินทางไป Toroweap Overlook นั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากครับ ข้อจำกัดแรกคือต้องขับรถบนทางลูกรังเป็นระยะทางไกลร่วมๆ 3 ชั่วโมง และช่วงกิโลเมตรสุดท้ายต้องใช้รถท้องสูงมาก เพราะมีแต่หินก้อนใหญ่ๆ แต่สามารถจอดรถแล้วเดินไปแทนได้ ข้อจำกัดที่สอง ถ้าอยากจะมาค้างคืนทีนี่ ต้องจอง permit ล่วงหน้าครับ สามารถ fax จองได้ โดย campground ชื่อ tuweep ผมไปมาช่วงปลายเดือนสิงหาคมก็ไม่เต็มนะครับ แต่อย่างไรก็ตามก็แนะนำให้จองล่วงหน้าไปก่อนดีกว่า
Toroweap Overlook จุดชมวิวที่อลังการที่สุดของ Grand Canyon
ที่ Toroweap Overlook นี้เราจะได้เห็นความอลังการของ Grand Canyon แบบเต็มตามากๆ เพราะจะเห็นหน้าผาใหญ่มากๆ ตั้งชันดิ่งลงไปถึงแม่น้ำเลยทีเดียว เป็นจุดชมวิวที่ใครกลัวความสูงอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกหน่อย 555 แต่วิวที่นี่สวยทั้งแสงเช้าและแสงเย็นเลย
หากกล่าวถึง Grand Canyon ผมคงจะพลาดไม่ได้ที่จะพูดถึงน้ำตกสีฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ เหมือนเป็นเพชรเม็ดงามของ Grand Canyon เลยทีเดียว น้ำตกนี้ชื่อ Havasu Falls ครับ ตั้งอยู่ในเขตของอินเดียนชื่อ Havasupai อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ การเดินทางมี 3 วิธีคือ เดินเท้าเข้าไป 16 กิโลเมตร นั่งลา หรือนั่งเฮลิคอปเตอร์ ราคาก็ไล่ตามกันไปครับ เฮลิคอปเตอร์นั้นจะมีบินแค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ อย่างฤดูหนาวก็จะมีแค่วันศุกร์และวันอาทิตย์ ค่าโดยสารตกคนละ $85 ก็ถือว่าไม่แพงมากนัก และการจะเข้าไปใน Havasu Falls นั้นต้องจอง permit ล่วงหน้าเช่นกัน ถ้าไม่ได้จองไป จะโดนปรับอาน และเผลอๆจะให้เดินกลับด้วยครับ กลายเป็นว่าเดิน 30 กิโลเหนื่อยเปล่า 5555
Havasu Falls อัญมณีกลางหุบเขา Grand Canyon
น้ำตกที่นี่เป็นสีฟ้าสวยมากๆ ช่วงเวลาที่เหมาะคือได้ทั้งปี ยกเว้นหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคมครับ เพราะเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดมากๆ และยังเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดฝนฟ้าคะนอง และน้ำป่าด้วย ที่ Havasu Falls เคยมีน้ำป่าใหญ่มากเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ทำให้ทางน้ำเปลี่ยน และหน้าตาน้ำตกเปลี่ยนไปพอสมควรเลย
น้ำตก Havasu เมื่อมองจากด้านล่าง
ถ้ามา Havasu Falls แล้ว อย่าลืมแวะไป Mooney Falls ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่ทางเดินลงไปด้านล่างน้ำตกจะชันมาก และทั้งสองน้ำตกสามารถเล่นน้ำได้ ใครชอบเล่นน้ำตก ขอบอกว่าต้องห้ามพลาดครับ
Mooney Falls กับแท่งดินที่เกิดจากน้ำป่า สวยไปอีกแบบ
อีก zone นึงของรัฐ Arizona ที่น่าสนใจมากๆคือทางด้านเหนือครับ บริเวณนี้คือรอบๆ Lake Powell ซึ่งจะเต็มไปด้วยหินสวยๆ และ Slot canyon มากมาย มีเมืองหลักคือเมือง Page และ Kanab ผมแนะนำให้หาที่พักที่สองเมืองนี้ครับ ถ้าใครชอบ Slot Canyon ให้มาที่ Page เพราะสามารถขับรถแค่ 10-15 นาทีก็ถึงที่เที่ยวอย่าง Antelope Canyon และ Horseshoe Bend แล้ว
Upper Antelope Canyon ตอนที่ผมไป ไม่ได้ซื้อ photographer tour เลยคนเยอะมาก ผมได้แต่ถ่ายเพดาน เพราะถ่ายมุมระดับสายตา มีแต่นักท่องเที่ยว 55
สำหรับ Antelope Canyon จะอยู่ในเขตของอินเดียนแดง ต้องเสียค่าเข้าแพงนิดนึง แต่ความประทับใจที่ได้คุ้มมากๆแน่นอนครับ หลักๆแล้ว Antelope Canyon จะมีสองด้านคือ Upper Antelope กับ Lower Antelope ซึ่ง Upper Antelope ค่าเข้าจะแพงกว่า เดินง่ายกว่า ในช่วงหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม จะมีลำแสงลอดลงมาจากรูด้านบนในช่วงเที่ยง ส่วน Lower Antelope นั้นต้องปีนป่ายบันใดนิดนึง แต่ผมชอบรูปทรงของหินที่ Lower Antelope มากกว่า และที่นี่ แสงจะสวยที่สุดในตอนเช้าครับ ให้มาตั้งแต่เวลาเปิดเลย และมาวันธรรมดา คนจะได้ไม่เยอะมากนัก Lower Antelope เองก็มีลำแสงเหมือนกัน แต่จะไม่อลังการเท่ากับ Upper Antelope ผมเองยังไม่เคยได้ภาพลำแสงจาก Upper Antelope เลย เพราะ Photographer Tour ชอบเต็มตลอด
Lower Antelope Canyon กับแสงตอนช่วงสาย
แสงสะท้อนผนังหินทรายใน Lower Antelope Canyon
ที่ Lower Antelope จะเห็นหินรูปร่างแปลกตา เค้าว่ากันว่าเหมือนผู้หญิงที่ผมปลิวไปตามลม
รอบๆเมือง Page ยังมี Slot Canyon อีกมากมายเลยครับ เช่น Arch เรืองแสงอันนี้
Horseshoe Bend ก็เป็นอีกที่นึงที่มาง่าย และวิวอลังการมาก สวยทั้งเช้าและเย็นครับ เป็นอีกจุดนึงที่ท้าความเสียวได้ไม่น้อยเลย เพราะตรงสุดทางเดินไม่มีรั้วกั้น มีเพียงหน้าผาที่ดิ่งลงไป จากที่ผมกะๆเอาน่าจะเกือบสองร้อยเมตรได้ และที่ตรงนี้เราจะเห็นแม่น้ำโคโลราโดโค้งเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งลักษณะคุ้งน้ำแบบนี้มีให้เห็นหลายที่ในแถบนี้ครับ มาที่ Horseshoe Bend จะง่ายที่สุด จุดอื่นๆก็อย่างเช่น Tatahatso Point หรือ Gooseneck State Park นั่นเอง
Horseshoe Bend ตอนเช้า
อีกบริเวณนึงที่มีหินสวยๆคือพื้นที่ระหว่างเมือง Page และ Kanab ผมจะเรียกรวมๆว่าเป็น Vermillion Cliff ครับ ที่นี่จะมีสถานที่ที่โด่งดังระดับโลกอย่าง the wave ซึ่งการจะเข้าไป the wave นั้นต้องใช้ดวงล้วนๆ ที่ต้องบอกว่าดวงล้วนๆนั่นเป็นเพราะว่าต้องใช้ permit เข้าในบริเวณที่ชื่อว่า North Coyote Butte ซึ่ง the wave อยู่ในบริเวณนี้ และการจะได้ permit มานั้นก็อาศัยการจับฉลากเอาครับ ในหนึ่งวันจะมีเพียง 20 คนผู้โชคดีทีได้ permit เข้าไป the wave เท่านั้น และ 20 คนก็จะแบ่ง 10 ให้มาลุ้นโชคในหน้าเวบ ต้องส่งใบสมัครล่วงหน้าสามเดือน และผู้ท้าชิงมีประมาณ 500-600 คน เอาแค่ 10 โอกาสจึงเหลือเพียง 2% เท่านั้น ส่วนอีก 10 ที่จะเป็น walk-in permit ก็จะให้จับเอาหน้างาน จับฉลากล่วงหน้าหนึ่งวัน ซึ่งปริมาณของผู้ท้าชิงก็จะมากน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและวันหยุด ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนก็อาจจะมีคนมาสมัครมากถึง 200 คน ซึ่งโอกาสได้ก็จะประมาณ 5% ผมเคยไปหน้าหนาว ในช่วงวันธรรมดา มีคนมาเสี่ยงดวง 40 คน โอกาสได้จึงเพิ่มขึ้นเป็น 25% โดยมาก walk-in permit จะมีคนมาสมัครน้อยกว่าแบบในเวบ เพราะแบบในเวบสามารถเสี่ยงดวงได้จากที่บ้าน ไม่ได้ก็ส่งใหม่ (ผมเคยส่งมา 15 เดือนติดแล้ว ยังไม่เคยได้เลย ดวงกุดขนาดไหน 555)
The Wave ผมมาตอนปลายปี อากาศหนาวมาก และนักท่องเที่ยวน้อย แต่ข้อเสียคือพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นกลางหัว ทำให้ถ่ายติดเงาตัวเองตลอด และเงาจะพาดที่มุมนี้ตลอด ไม่มีช่วงเวลาที่ไม่มีเงา
อีกมุมที่ The Wave
นอกจาก The wave แล้วก็ยังมี White Pocket ที่แม้จะดังน้อยกว่า แต่ลวดลายของหินก็สวยงามแปลกตาไม่แพ้กันเลย การเดินทางไป White Pocket จะยากกว่ามาก ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ และสภาพถนนค่อนข้างแย่มาก เป็นถนนทราย หากมาในช่วงที่มีฝน จะขับรถเข้าไม่ได้เลย โดยมากแล้วช่างภาพจะมากางเตนท์ค้างคืนที่ white pocket เพื่อรอถ่ายแสงเช้าหรือแสงเย็นกัน ในขณะที่ the wave จะถ่ายแสงเที่ยงเสียมากกว่า
ลวดลายของหินที่ White Pocket
หินสวยๆอีกมุมที่ White Pocket ผมตั้งชื่อให้หินเส้นนี้ว่า “สันหลังมังกร”
และเช่นเดิม เราทิ้งท้ายด้วยบทสรุปแผนที่ของ Arizona ครับ