Utah เป็นรัฐสุดท้ายที่จะนำมาฝากกันครับ รัฐ Utah เป็นรัฐที่อัดแน่นไปด้วยอุทยานแห่งชาติเยอะมาก ทั้ง Zion, Bryce Canyon, Capitol Reef, Arches, Canyonlands เป็นต้น ผมเองเคยไป Zion บ่อยที่สุด เพราะใกล้ Las Vegas มากที่สุด ส่วน Capitol Reef เป็นอุทยานแห่งเดียวที่ผมเองไม่มีข้อมูลเลย เคยไปอยู่หนเดียว ตอนนั้นยังไม่ได้จริงจังกับการถ่ายภาพเท่าไหร่นัก เลยไม่มีจุดถ่ายรูปมาฝากกัน แต่รับรองว่าอุทยานอีกสี่แห่งที่เหลือ จัดเต็มแน่นอน 55
บทความนี้เป็นหนึ่งในซีรีส์ทั้งหมด 8 ตอน ที่มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหมด 9 รัฐ สำหรับ link ตอนอื่นๆสามารถติดตามได้จากด้านล่างนี้ครับ
ตอนที่ 1: Washington
ตอนที่ 2: Oregon
ตอนที่ 3: California
ตอนที่ 4: Montana
ตอนที่ 5: Wyoming
ตอนที่ 6: Colorado
ตอนที่ 7: Nevada + Arizona
ตอนที่ 8: Utah
การเดินทางมารัฐ Utah สามารถบินมาลงที่ Salt Lake City ได้ แต่รอบๆ Salt Lake นั้นไม่ค่อยมีที่เที่ยวเยอะมากเท่ากับทางด้านใต้ ซึ่งทางใต้ของรัฐ Utah จะเป็น Canyon หลากหลาย ซึ่งจาก Las Vegas จะขับรถใกล้กว่า ถ้าจะเที่ยวทางด้านใต้ ผมแนะนำให้บินลง Las Vegas ดีกว่าครับ
The Narrows
ดังที่กล่าวไปว่า Zion National Park เป็นอุทยานที่ผมไปบ่อยที่สุดของรัฐนี้ ลักษณะพิเศษที่ทำให้ Zion แตกต่างจากอุทยานอื่นๆใน Utah และในอเมริกาคือมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน คล้ายกับ Yosemite แต่หน้าผาเหล่านั้นเป็นสีแดง เปรียบประมาณว่าเหมือนเอาหน้าผาของ Yosemite มารวมกับสีของหินจาก Grand Canyon ยังไงยังงั้นเลย โดยใจกลางของอุทยานจะมีแม่น้ำชื่อ Virgin River ไหลผ่าน และ Zion ก็มี trail เด็ดๆเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Angel’s Landing, Overlook trail แต่ที่ผมจะพูดถึงจะเป็นสองเทรลที่ฮิตสุดๆในหมู่ช่างภาพ Landscape นั่นคือ the Narrows และ the Subway
ใบไม้เปลี่ยนสีใน the Narrows มีช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
การเดินเท้าใน the Narrows จะเรียกว่าเดินบนเทรลก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะมันคือการเดินในแม่น้ำซะมากกว่าครับ 55 เพราะ the narrows นั้นเริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดของ Riverwalk trail และจากจุดนั้นคือการเดินสวนทางน้ำล้วนๆ ไม่มีเส้นทางเดินแน่นอน อยู่ที่เราจะเลือกร่องน้ำและเนินหินเอาเอง จะเดินเลาะริมฝั่ง หรือจะข้ามน้ำตรงจุดไหนก็ได้ และจุด highlight ของ the narrows คือโซนที่เรียกว่า Wallstreet ชื่อฟังดูเหมือนย่านตึกสูงในนิวยอร์ค แต่เราเปลี่ยนตึกเป็นผนังหินสูงราวๆร้อยเมตร ตลอดช่วง Wallstreet นี้จะมีแต่หน้าผาสูงชัน และแม่น้ำที่เรากำลังเดินอยู่เท่านั้น ซึ่งถ้าเรามาถูกช่วงเวลา ก็จะเห็นแสงแดดสะท้อนผนังไปมา ทำให้ผนังเรืองแสงเป็นสีส้มทอง แสงเหล่านี้จะเรียกกันง่ายๆว่า reflected light ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือสิบโมงเช้า หรือบ่ายสอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ทำมุมเฉียงเล็กน้อย ทำให้แสงชิ่งไปชิ่งมา ถ้าเป็นเที่ยงตรง แสงก็ส่องลงมาค่อนข้างตรง ทำให้ไม่มีผนังเรืองแสง แต่แสงที่สวยจะเป็นตอนเช้าหรือตอนบ่ายก็ขึ้นอยู่กับแต่ละจุด และแต่ละฤดูกาลด้วย ฤดูกาลที่แตกต่างกัน แสงก็ทำมุมต่างกันไป
Reflected Light ใน Wallstreet
แต่ผมรับรองว่า reflected light มันสวยงามแน่นอนครับ ฉะนั้นต้องเลือกวันแดดดีๆ แสงจะได้เข้ม ถ้าชอบใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ต้องมาต้นเดือนพฤศจิกายน และช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะน้อยลงไปมากแล้ว
หินก้อนยักษ์ใน Wallstreet
กฏเหล็กของ the narrows คือห้ามเดินในวันที่มีพยากรณ์ว่าฝนตก เพราะจะมีโอกาสเกิดน้ำป่าสูงมาก และวันที่ฝนตก น้ำในแม่น้ำก็จะแรงมาก แค่คิดว่าต้องเดินสวนทางน้ำในวันที่น้ำแรงมันก็เหนื่อยใจแล้วครับ และลักษณะของ the narrows คือเป็นผนังสูงชันทั้งสองด้าน ถ้าน้ำป่ามาแบบกระทันหัน เราจะไม่มีที่ให้หนีเลย ทางที่ดีที่สุดคือต้องเชคพยากรณ์อากาศล่าสุด ฝนต้องไม่ตกวันนั้น หรือแม้แต่สองสามวันก่อนหน้า เราให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องปลอดภัยครับ
The Subway ภาพนี้ผมถ่ายผิดเวลาไปหน่อยครับ จริงๆต้องมาช่วงเที่ยง
Subway เป็นอีกเทรลนึงที่เดินยาวกว่าและเหนื่อยกว่า the narrows แต่ความแปลกตาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เริ่มเดินจาก Left Fork North Creek trailhead และก็ลัดเลาะลำธารไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเดิน 3-4 ชั่วโมง ลักษณะของ the Subway ก็จะตามชื่อเลย คือลักษณะเป็นเหมือนอุโมงค์รถไฟนั่นเอง (แต่ด้านบนเปิดโล่งนะ) เดือนที่ดีที่สุด ผมยกให้เป็นหน้าใบไม้เปลี่ยนสี เดือนพฤศจิกายนครับ เพราะก่อนถึง Subway จะมีน้ำตกเล็กๆที่สวยมากถ้าฉากหลังเป็นต้นไม้เหลืองๆ สำหรับช่วงเวลาถ่ายที่ดีที่สุดคือช่วงก่อนเที่ยงเล็กน้อย นั่นแปลว่าเราต้องเริ่มเดินตั้งแต่ใกล้สว่าง เพื่อให้ทันแสงที่สวยที่สุดของวัน
Archangle Falls น้ำตกเล็กๆเป็นชั้นๆ อยู่ตรงทางเข้า Subway
ก่อนทางเข้า Subway จะมีรอยแตกบนหิน ถ่าย Abstract ได้สนุกดีครับ
Crack
ปิดท้าย Zion ด้วยมุมคลาสสิคที่ชื่อ The Watchman ซึ่งก็เป็นชื่อของหน้าผาหินที่เห็นในภาพครับ มุมนี้อยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำ Virgin River ซึ่งในเขตอุทยานมีอยู่สะพานเดียวที่ให้รถข้าม อยู่ตรงสามแยกเข้า Zion Valley พอดี หาไม่ยากครับ ช่วงแสงเย็นมีตากล้องเพียบ
The Watchman มุมคลาสสิคที่ช่างภาพชอบมาถ่ายแสงเย็นกัน
พอเราขับรถจาก Zion เพียงแค่สองชั่วโมงเศษๆ ก็จะถึง Bryce Canyon National Park ลักษณะภูมิประเทศที่นี่แปลกตา มีแท่งหินที่เรียกว่า Hoodoos อยู่นับร้อยนับพัน หากเราไปยืนตรงริมหน้าผา ก็จะเห็นมุมที่อลังการมากๆ จุดชมวิวหลักๆจะมีสี่แห่ง คือ Sunset Point, Sunrise Point, Inspiration Point และ Bryce Point ทั้งหมดอยู่ตามแนวหน้าผา เรียงจากเหนือไปใต้ จริงๆ Sunset กับ Sunrise Point ผมว่าถ่ายช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจะดีกว่า โดยส่วนตัวผมชอบ Sunset point มากที่สุด แต่ต้องมาถ่ายตอนเช้านะครับ อย่าหลงกลไปกับชื่อจุดชมวิวแล้วไปถ่ายตอนเย็นเชียว 555 ที่ Sunset Point จะมีเทรลลงไปด้านล่าง และเห็นหินรูปค้อน หรือที่เรียกว่า Thor’s Hammer อีกด้วย ผมชอบมา Bryce Canyon ในช่วงหน้าหนาว เพราะว่าแท่งหินสีส้ม จะสวยขึ้นอีกมากเลย เมื่อมีหิมะสีขาวๆมาแต่งแต้ม แต่ก็ต้องแลกกับการที่ trail ปิด เดินได้แต่บริเวณริมหน้าผาเท่านั้น และอากาศหน้าหนาวของ Bryce Canyon ยังโหดสุดๆอีกด้วย ตอนเช้าๆนี่ -20 องศาเซลเซียสเป็นเรื่องปกติไปเลยครับ ใครจะมาหน้าหนาวต้องเตรียมตัวดีๆ
Bryce Canyon จาก Sunset point สวยที่สุดก็หน้าหนาวนี่แหละครับ ช่วงเดือนธันวาคมจะมีหิมะจุใจแน่นอน
แสงเช้ากับหิมะและ Hoodoos สีส้ม ใบนี้จาก Sunrise Point
Bryce Point ก็เป็นอีกจุดที่สวยไม่แพ้กัน เพราะจะเห็นวิวได้เกือบ 270 องศาเลย แนะนำครับ
Bryce Point ในเดือนพฤศจิกายน หิมะเลยน้อยหน่อย
สถานที่ต่อมาที่ผมอยากแนะนำคือ Monument Valley หรือจะเรียกว่าเป็นวิวยอดฮิตของอเมริกาที่ดังที่สุดก็ว่าได้ เพราะปรากฏอยู่ในหนังหลายเรื่องมากๆ โดยเฉพาะแนวๆคาวบอย ซึ่งตัว Monument Valley นี้อยู่ในรัฐ Arizona แต่ทางเข้าอยู่ตรง Utah ฟังดูงงๆไหมครับ 555 เอาเป็นว่ามันอยู่ตรงรอยต่อระหว่างสองรัฐนี้นั่นเอง แต่อาณาเขตของ Monument Valley นั้นอยู่ในเขตของอินเดียนแดง นั่นแปลว่าเสียค่าเข้าชมครับ ความเห็นส่วนตัวผมแล้ว ผมว่าที่นี่สวยทั้งเช้าและเย็น และใกล้ๆกันก็มีที่พักที่ค่อนข้างสะดวกครับ หรือจะขับไปนอนที่ Page ก็ยังได้ ขับรถราวๆสองชั่วโมง ใกล้ๆกันก็มี Teardrop Arch ซึ่งก็เป็นมุมที่ดังมากเช่นกัน
Monument Valley
ไม่ไกลจาก Monument Valley มีโบราณสถานเก่าอันนึงที่ช่างภาพชอบเรียกติดปากว่า House on Fire เพราะลวดลายบนเพดานมันเหมือนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกท่วมเหนือตัวบ้านนั่นเอง House on Fire อยู่ใน Mule Canyon เดินไม่ไกลมาก จอดรถแล้วเดินราวๆ 30 นาทีครับ แนะนำว่าควรมาช่วงเวลาเกือบๆเที่ยงวัน เพราะพระอาทิตย์จะทำมุมตั้งฉากมากๆ และเกิดแสงสะท้อนชิ่งไปส่องให้เพดานเรืองแสงส้มเหมือนเป็นเปลวเพลิง
House on Fire
หากมีอุทยานใดที่ลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับ Grand Canyon ผมคงยกให้ Canyonlands National Park เลยครับ ส่วนตัวผมว่าแม้ Canyonlands จะไม่ใหญ่เท่ากับ Grand Canyon แต่มีมุมที่สวยกว่า เพราะไม่ดูกว้างเกินไป และมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลังไกลๆอีกด้วย Canyonlands National Park เมื่อเทียบกับอุทยานอื่นๆ จะไม่โด่งดังเท่า แถมอยู่ติดกับ Arches National Park ซึ่งแค่ชื่อเสียงก็สู้กันไม่ได้แล้ว 555 แต่สองอุทยานนี้ไม่ได้ไกลกันเลยครับ ตั้งต้นจากเมือง Moab ขับรถแค่ 40 นาทีก็ถึง visitor center ที่ชื่อสุดเก๋ว่า Islands in the Sky หรือเกาะแห่งท้องฟ้า สำหรับที่นี่ จุดที่ไม่ควรพลาดคือ Mesa Arch และ overlook ต่างๆ อย่าง Mesa Arch นี้เป็นจุดท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของที่นี่เลยทีเดียว มีความสวยงามมาก ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นเอกลักษณ์ ตัว Arch ตั้งอยู่เหนือหน้าผา พอในตอนเช้า แสงจะกระทบกับหน้าผา และสะท้อนขึ้นมาบนตัว Arch ซึ่งจะทำให้เหมือนเป็น Arch เรืองแสง ซึ่งสวยมากๆ ตอนเช้านี่จะมีช่างภาพมาเข้าคิวรอถ่ายกันเยอะมากแน่นอน
Mesa Arch เรืองแสงในตอนเช้า
สำหรับ overlook อื่นๆในอุทยานก็จะมี Grand View Point กับ Green River Overlook ที่เป็นที่นิยม แต่ผมขอเสนออีกจุดนึงที่ชื่อว่า False Kiva ที่ต้องเดินไกลสักหน่อย ต้องเดินจาก Upheaval Dome Road มาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เพราะที่นี่มีร่องรอยของมนุษย์ยุคก่อนๆ ทำให้มีฉากหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ลักษณะเป็นวงกลม เรียกว่า Kiva ปีที่แล้วผมแวะมาที่นี่เพื่อมาตามล่าทางช้างเผือกครับ ตอนที่เอาไฟฉายมาทำ lighting ให้บรรยากาศรอบๆ แล้วเอาไฟฉายจาก iphone ไปเพิ่มแสงที่ตรงกลาง kiva ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูขลังขึ้นมามากเลย
Green River Overlook
False Kiva กับทางช้างเผือก
หากได้มา Canyonlands แล้ว ผมก็อยากให้แวะ Dead Horse Point State Park ด้วยครับ เป็น state park เล็กๆอยู่ก่อนถึง Canyonlands ต้องมาถ่ายช่วงเช้าถึงจะสวย เพราะที่จุดชมวิว จะเห็นแสงจะสาดเข้าทางด้านข้างพอดี ลักษณะภูมิประเทศเป็นเหมือน Canyon ใหญ่ๆ และมีคุ้งน้ำรูปเกือกม้าเหมือนกับ Horseshoe Bend แต่ที่นี่เราจะเห็นมุมเฉียงข้างนิดหน่อย ทำให้ดูแปลกตากว่าที่อื่นๆ โดยรวมแล้ว แม้ว่าจะมีจุดชมวิวอยู่ที่เดียว แต่วิวก็สวยคุ้มค่าน่าแวะเป็นอย่างมากครับ
Dead Horse Point State Park
ผมปิดท้ายรัฐ Utah และปิดท้ายบทความนี้ด้วย Arches National Park ครับ ตัวอุทยานอยู่ใกล้เมือง Moab มากๆ ถ้ามาแถวนี้ผมแนะนำให้นอนที่เมืองนี้สักหนึ่งหรือสองคืน จะได้เที่ยวทั้ง Arches National Park และ Canyonlands National Park + Death Horse Point ได้ครบ ที่ Arches National Park แห่งนี้มี Arch อยู่นับราวๆสองพันแห่งอยู่ในพื้นที่แค่สามร้อยตารางกิโลเมตรเท่านั้น ถือว่าเยอะมากๆๆๆ เป็นภูมิประเทศที่น่าสนใจมาก เราคงไม่สามารถไปได้ทุกๆที่ครับ แค่จะไปชม Arch หลักๆให้ครบก็หมดเวลาเป็นวันแล้ว สำหรับ Arch ที่ดังที่สุดของที่นี่คือ Delicate Arch ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเศษๆ ที่มองดูไกลๆเหมือนจะไม่ใหญ่ แต่จริงๆสูงเกือบ 20 เมตร หรือ 12 ช่วงตัวคนเลยครับ
Delicate Arch ลองเทียบ size กับนักท่องเที่ยวดูครับ ใหญ่จริงๆ
นอกจาก Delicate Arch แล้ว ผมขอแนะนำ Landscape Arch ซึ่งเป็น Arch ที่ยาวที่สุดในอุทยาน และ Turret Arch ที่มีมุมคลาสสิค ต้องมองจาก North Window จะเห็น Turret Arch อยู่ในหน้าต่าง แค่ตัววิวก็อลังการแล้วครับ บวกกับลักษณะของหินสวยๆยิ่งทำให้ Arch เหล่านี้ดูน่าสนใจขึ้นอีกมากมาย
Landscape Arch ซึ่งเป็น Arch ที่ยาวที่สุด เคยถล่มไปอยู่ช่วงนึง ทำให้ทางอุทยานปิดไม่ให้เข้าไปเดินชมด้านล่าง
Turret Arch คู่กับ North Window ตอนไปมุมนี้เสี่ยงตายมาก เพราะต้องปีนหน้าผาถ่าย แถมมีหิมะลื่นๆอีก
แผนที่ของรัฐ Utah ครับ สังเกตว่าโซนที่เป็นทะเลทรายและ Canyon ต่างๆจะอยู่ด้านใต้ของรัฐทั้งหมด ฉะนั้นถ้าบินมาลง Las Vegas จะสะดวกกว่าครับ แต่ถ้าไป Arch หรือ Canyonlands มาจาก Salt Lake City จะใกล้กว่า ขับรถ 4 ชั่วโมง เทียบกับ Las Vegas 7 ชั่วโมง
โดยรวมแล้ว สามรัฐในโซน Southwest ทั้ง Nevada, Arizona และ Utah จะเป็นโซนทะเลทราย และมีหินสวยๆทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าใครชอบอะไรเกี่ยวกับหินและธรณี รับรองว่าต้องติดใจในความหลากหลายของหิน รวมไปถึงสีสันและลวดลายอย่างแน่นอน สำหรับสามรัฐนี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่มาเที่ยว ผมตอบได้อย่างรวดเร็วเลยครับว่า ให้เลี่ยงหน้าร้อน เพราะมันร้อนจัดมากๆ ผมเคยมา Nevada ช่วงปลายเดือนมิถุนายน อากาศร้อนกว่า 43 องศา ยิ่งบวกกับแดดแรงๆและอากาศแห้งด้วยแล้ว มันเหมือนกับเราอยู่ในเตาอบดีๆนี่เองครับ แม้ว่าที่นี่จะไม่ร้อนเท่ากับ Death Valley แต่ก็อย่าประมาทครับ อากาศแบบนี้จะทำให้เราเสียเหงื่อเสียน้ำเร็วมาก และจะทำให้รู้สึกเพลียได้เร็วกว่าปกติ อากาศในช่วงหน้าร้อนโดยเฉพาะรัฐ Arizona จะค่อนข้างแปรปรวน ฝนฟ้าคะนองเยอะ มีโอกาสเกิดน้ำป่าได้สูง ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำให้มาช่วงก่อนเข้าหน้าหนาว ราวๆเดือนตุลาคมถึงพฤษจิกายน หรือไม่ก็เป็นเดือนมีนาคม เมษายนไปเลย เพราะหน้าหนาวที่นี่ก็โหดไม่ใช่เล่นครับ อย่างเช่น ถ้าใครอยากมาเห็นลำแสงสาดที่ Antelope Canyon แม้ว่าหน้าร้อนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่เดือนเมษายนก็พอเห็นได้ และอากาศยังไม่ร้อนจนเกินไปครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่าทุกคนที่อ่านจบ ขอบคุณจริงๆ หวังว่าคงจะได้แรงบันดาลใจดีๆในการจัด road trip ขับรถท่องเที่ยวอเมริกา และผมเข้าใจดีว่าทวีปอเมริกามันไกล แค่คิดนั่งเครื่องก็เหนื่อยแล้ว ผมก็หวังว่าภาพที่ผมเก็บมาตลอด 6 ปีเศษๆนี้จะกระตุ้นให้หลายๆ คนยอมนั่งเครื่องบินกว่า 20 ชั่วโมงเพื่อมาเปิดโลกของ landscape แบบอลังการๆที่อเมริกานะครับ บทความนี้คงเป็นบทความที่ผมเขียนยาวที่สุด นานที่สุด และรูปเยอะที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้วครับ
ถ้าผมตกหล่นสถานที่ใดไป ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ หรืออยากให้เพิ่มตรงไหน ก็แจ้งมาได้เลยนะครับ
ขอบคุณจากใจจริงครับ
พี