น้ำตก Havasu Falls เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สายน้ำสีฟ้าใส ตกลงไปสู่แอ่งน้ำสีเทอควอยซ์ที่อยู่เบื้องล่าง สีฟ้านั้นตัดกับสีแดงส้มของภูมิประเทศรอบๆได้ดีทีเดียว คนส่วนมากจะเข้าใจว่าน้ำตก Havasu ตั้งอยู่ใน Grand Canyon National Park แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะครับ น้ำตกนี้อยู่ในเขตของชาวอินเดียนแดงที่ชื่อ Hualapai Indian Reservation ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของอุทยานแห่งชาติ Grand Canyon ที่นี่มีหมู่บ้านหลักชาวอินเดียนชื่อสุพาย (Supai) ฟังดูเหมือนชื่อไทยๆเลยนะครับ ชาวอินเดียนแดงมาตั้งรกรากเป็นพันปีแล้ว หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในใจกลางหุบเขา ไม่มีถนนเข้าถึง มีประชากรประมาณ 300-400 คน การเดินทางหลักคือเดินจากถนนหลักเป็นระยะทาง 8 miles หรือ 13 km ซอกแซกเข้าไปตามหุบเขา หรือจะนั่งม้าหรือลาก็ได้ และมีอีกทางเลือกนึงที่สบายที่สุด และก็แพงที่สุดด้วย นั่นก็คือการนั่งเฮลิคอปเตอร์ครับ 55
ชาวบ้านที่นี่ให้ความเคารพนับถือภูเขาและผูกพันกับธรรมชาติมากๆ ผมมีโอกาสได้คุยกับคนที่นี่ เค้าเล่าว่าบนยอดหน้าผาเหนือหมู่บ้านจะมีหินสองก้อน เป็นตัวแทนราชาและราชินีที่คอยปกป้องหมู่บ้านนี้มานานแล้ว และก็จะยังคงเป็นอย่างนั้นเรื่อยไป นอกจากนี้ยังมีหินอีกก้อนนึงที่รูปร่างเหมือนกบ เค้าเล่าวว่าชาวบ้านให้ความเคารพว่าเป็นเทพแห่งกบ ที่คอยดูแลไม่ให้มีแมลงมารบกวนในช่วงหน้าร้อน เพราะกบคอยช่วยกินแมลงนั่นเอง
ผมไปน้ำตก Havasu มาเมื่อกลางเดือนมีนาคม การเดินทางของผมนั้นตั้งต้นจาก Los Angeles ที่ผมอยู่ ขับรถไปทาง Highway Interstate 40 ไปห้าชั่วโมง ถึงเมือง Kingman ซึ่งจากตรงนี้เราจะแยกเข้าถนนสายรองคือ Route 66 (ถ้าใครเคยดูการ์ตูนเรื่อง Cars ก็จะคุ้นเคยเป็นอย่างดี) และแยกต่อไปเข้าถนนสาย 18 จนถึง Hualapai Hilltop ซึ่งอยู่ตรงสุดทางพอดี และจากตรงนี้แหละครับ ไม่มีพาหนะและเทคโนโลยีสะดวกสบายพาเราไปถึงหมู่บ้านแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับสองเท้า และพลังกายพลังใจของคุณเอง
จาก Haulapai Hilltop ไปถึงหมู่บ้าน Supai ระยะทาง 8mi และถ้าเราไม่ได้จอง Lodge ซึ่งราคาแพงและจองยากมาก เราก็ต้องไปกางเตนท์นอนที่ Campground ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆ Havasu Falls ซึ่งเลยหมู่บ้านไปอีก 2mi ทำให้ระยะทางเดินรวมคือ 10 miles หรือ 16 กิโลเมตรครับ หากใครฟิตๆผมคิดว่าเดิน 4 ชั่วโมงก็ถึง ผมเดินบ้างหยุดบ้าง ใช้เวลาไปห้าชั่วโมงครับ ช่วงแรกจะเป็นทางลงเขาชันมากๆ ระยะทาง 1.5mi นั่นแปลว่าตอนสุดท้ายที่เดินกลับ คุณจะต้องเดินขึ้นทางชันมากๆเช่นกัน ส่วนเส้นทางที่เหลือจะเป็นเส้นทางราบไปตลอด เลาะแคนยอนไปเรื่อยๆ แต่ควรเริ่มออกเดินตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนมืดได้ยิ่งดีนะครับ เพราะว่าแดดที่นี่แรงมากๆ ยิ่งถ้าเราออกเดินสาย ก็จะเหนื่อยมากขึ้น เพราะต้องเดินกลางแดดร้อนๆ
ตัว Hilltop trailhead อยู่ด้านล่างของภาพครับ เดินผ่าน Supai และ Havasu Falls เขียนไว้ตัวอักษรสีฟ้าๆ ก่อนถึง Mooney Falls ครับ
ถ้ามองจากด้านบน Hilltop จะเห็นประมาณนี้ครับ
อีกภาพนึงแสดงที่ตั้งของน้ำตกดังสามแห่งคือ Havasu, Mooney และ Beaver เราจะเห็นว่าตัว campsite นั้นตั้งอยู่ระหว่างน้ำตก Havasu และน้ำตก Mooney ครับ และถ้าเดินไปจนสุดถึงแม่น้ำโคโลราโด ระยะทางประมาณ 12mi ครับ (ไกลมากกกกกก)
ตัวน้ำตกนั้นเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่ผมคิดว่าเหมาะสมคือช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ซึ่งเป็นช่วงกำลังเข้า Spring ตอนกลางคืนอากาศกำลังดี ประมาณ 5-10 องศา และตอนกลางวันราวๆ 20 องศา แม้จะมีแดดก็ไม่รู้สึกร้อนมากเกินไป อีกช่วงคือฤดูใบไม้ร่วง ราวปลายเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมทั้งเดือน ซึ่งช่วงนี้ก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมกันด้วยครับ สำหรับหน้าร้อนนั้นเลี่ยงได้ควรเลี่ยง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปนั้นอากาศร้อนมากๆ และพระอาทิตย์ก็ขึ้นเร็วมาก นักท่องเที่ยวต้องเริ่มออกเดินตั้งแต่ตีสี่ ไม่เช่นนั้นอาจจะมีความเสี่ยงเรื่อง heat shock กลางทางได้ และช่วงที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือกรกฏาคมและสิงหาคมครับ ช่วงสองเดือนนี้ รัฐ Arizona จะอยู่ในช่วงหน้าฝน โอกาสเกิดน้ำป่า (flash flood) สูงมากๆ คนที่นั่นเล่าว่าน้ำป่าเกิดทุกปี เพราะสภาพภูมิประเทศทีนี่เป็นหินเสียส่วนใหญ่ ดินไม่อุ้มน้ำ และต้นไม้ก็ไม่ค่อยมีเสียด้วย
น่าเสียดายที่ตอนปี 2008 มีน้ำป่าครั้งใหญ่ (ครั้งก่อนหน้าคือปี 1990) ทำให้เส้นทางน้ำเปลี่ยนไปมาก และน้ำตก Havasu เองก็ถูกตะกอนดินมาขวางไว้ เหลือสายน้ำลงมาเพียงแค่ด้านเดียว วัฎจักรเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติครับ หากเราย้อนไปดูสักร้อยปีก่อน น้ำตก Havasu อาจจะไม่เหมือนที่เราเห็นตอนนี้เลยก็ได้
รูปหมู่เท่ๆของเหล่าผู้พิชิตน้ำตก Havasu จากพี่กุ๊ง Phitha Photography
แพลนของผมเริ่มจากการขับรถยิงยาวจาก Los Angeles ออกตอนเย็นวันศุกร์ มานอนที่เมือง Kingman และก็ตื่นสายจนได้ กว่าจะได้ออกจากโรงแรมก็เกือบๆ 7 โมง ซึ่งกว่าจะไปถึง Hualapai Hilltop และเริ่มเดินก็เก้าโมงเช้าเข้าไปแล้ว แดดเริ่มแรง และผมก็เริ่มกังวลว่าแดดนี่แหละที่จะทำให้แรงตกและพลังกายหมดเร็วมากๆ แม้ว่าเส้นทางที่เดินจะลัดเลาะไปในแคนยอน แต่ยิ่งสายๆ พระอาทิตย์จะทำมุมเหนือหัวมากขึ้น และมีร่มเงาตลอดเส้นทางน้อยลงเรื่อยๆ แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดครับ เพราะแม้จะเกือบๆ 11 โมง ก็ยังพอมีร่มเงาให้เดินตลอดทาง จะมีแค่ช่วงแรกๆที่เป็นที่โล่ง แต่พอเดินไปสัก 3-4 mi ก็จะเป็นแคนยอนซึ่งด้านข้างเป็นกำแพงหินสูง 20-30 เมตร ซึ่งไม่ทำให้แดดแผดเผาเราจนเกินไปนัก
ผ่านไปเกือบๆ 4 ชั่วโมง เราก็เดินมาถึงเมือง Supai รวมระยะทางจาก Hilltop ประมาณ 8 mi ได้ ที่เมืองนี้ แม้จะอยู่ห่างไกลจากถนนใหญ่ มีประชากรไม่มากนัก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบมากๆ มีโรงเรียน ร้านขายของ ร้านอาหาร มีโรงพยาบาล แทบทุกบ้านมีแอร์ มีเคเบิ้ลทีวี และก็มีแม้กระทั่ง free wifi ให้นักท่องเที่ยวด้วย ทำเอาผมอึ้งไปเลย 5555 ที่เมืองนี้ นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาเชคอินที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และชำระค่าธรรมเนียมครับ ต้องทำการจองล่วงหน้ามาก่อน หากเดินเข้ามาโดยไม่มี reservation จะโดนค่าปรับสองเท่า และหาก campsite เต็มก็ต้องเดินกลับ ดังนั้นผมแนะนำให้จองก่อนดีที่สุดครับ
สำหรับการจองนั้น รายละเอียดอยู่ในเวบ Havasu ครับ รับการจองผ่านโทรศัพท์อย่างเดียว มีให้โทรได้สี่เบอร์ ซึ่งก็โทรติดยากมากๆ ตอนจองยังไม่ต้องจ่ายเงิน สามารถมาชำระเงินตอนที่มาถึง Supai ทีเดียว รายละเอียดเรื่องการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น hiking, นั่งลา หรือนั่งเฮลิคอปเตอร์ก็อยู่ในนี้หมดครับ
เมื่อชำระค่าธรรมเนียมแล้ว (ของผมจ่ายคนละ $57 + tax แบ่งเป็น entrance fee $35, camping fee $17/night และ environment fee $5) ถ้านอนเพิ่มอีกคืนก็เพิ่มอีก $17 + tax จากนั้นเราจะได้ tag มาคล้องแขน และได้ permit สำหรับกางเตนท์ จากนี้เราก็ต้องเดินอีก 2mi เพื่อไปยังลานกางเตนท์ ซึ่งมีอยู่หลายจุด ระหว่างน้ำตก Havasu และน้ำตก Mooney
ภาพแคมป์ของเรา จริงๆจะกางตรงไหนก็กางได้เลย ขอแค่หลบพื้นที่บริเวณทางเดินก็พอ ขอบคุณพี่พอลสำหรับภาพครับ
ช่วงที่เหนื่อยที่สุดในการเดินของผมไม่ใช่ 8mi แรก แต่กลับเป็น 2mi สุดท้ายนี่แหละครับ ช่วงสองไมล์สุดท้ายนี่เดินกลางแดดเปรี้ยงๆกลางทะเลทรายตอนบ่าย ช่างดูดพลังกายพลังใจนักแล ระหว่างทางสองไมล์นี้เราก็จะผ่านน้ำตก Navajo Falls ซึ่งเป็นน้ำตกใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนทางน้ำหลังจากน้ำป่าครั้งใหญ่เมื่อปี 2008 แม้ว่าน้ำตกนี้จะมีลายหินปูนที่สวยงาม ผสมกลมกลืนกับสีฟ้าใสของสายน้ำ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับน้ำตกนี้มากนัก เพราะว่ามีเพชรเม็ดงามรออยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกลแล้ววววววววว
เสียงก้องคำรามของน้ำตกนั้นได้ยินชัดเจนมากเมื่อใกล้ถึงน้ำตก ห่างราวๆ ครึ่งกิโลก็ได้ยินชัดเจนแล้วครับ เราพบกับจุดชมวิวสุดคลาสสิคจุดแรก ซึ่งเป็นมุมมองด้านข้าง จากมุมสูง เห็นสายน้ำตก Havasu Creek ทิ้งตัวลงไปราวๆ 50 เมตร สู่แอ่งน้ำสีฟ้าสวยด้านล่าง หินสีส้มแดงมันช่างตัดกับสีฟ้าของสายน้ำตกได้พอเหมาะพอเจาะจริงๆ มุมนี้ผมหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่าจะมาเก็บแสงเช้า ซึ่งแสงเช้าวันถัดมานั้นก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย มีเมฆเรืองๆเป็นส้มอมสีชมพูอยู่ไกลๆ และเป็นภาพที่ผมชอบที่สุดสำหรับทริปนี้เลยครับ
เทคนิคสำคัญที่จะถ่ายน้ำตก Havasu ให้สวยนั้น นอกจากจะหา foreground ให้สวยแล้ว เราต้องอ่านแสงให้ขาด เพราะแต่ละฤดูกาล พระอาทิตย์ก็จะทำมุมต่างๆกันไป สิ่งสำคัญมากๆคือ reflected light ซึ่งเกิดจากการสะท้อนของแสงอาทิตย์กับหน้าผาที่อยู่ด้านหลัง ทำให้เหมือนมีแผ่นรีเฟลกซ์สีส้มทองขนาดยักษ์ทำให้น้ำตกดูสว่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผมไปนั้น แสง reflected light ที่สวยของทั้ง Havasu Falls และ Mooney Falls จะอยู่ตอนบ่ายแก่ๆ ราวๆ 3-4 โมงเย็น พอเลยห้าโมงเย็นไปแล้วแสงก็หมดแล้วล่ะครับ ผมเองเตรียมตัวถ่ายไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวว่า reflected light นี่มันเป็น key ของการถ่ายน้ำตกให้สวย เวลาก็แทบไม่เหลือแล้ว ผมได้ภาพของ Havasu Falls มาบ้าง แต่เดินไปเก็บ reflected light ของ Mooney Falls ไม่ทันจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำว่าควรมาเที่ยวที่นี่สักสามวันสองคืน จะทำให้มีเวลาซึมซับบรรยากาศ และเก็บภาพ เก็บแสงที่ต้องการได้ครบถ้วน สำหรับทริปผม เป็นแค่ทริปวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาแค่คืนเดียวมันน้อยเกินไปจริงๆ
จากภาพนี้จะสังเกตได้ว่าหินสีแดงที่อยู่ด้านหลังน้ำตกนั้นสว่างขึ้นอย่างชัดเจน ที่เป็นอย่างนี้เพราะ reflected light ครับ และเป็นการช่วยเปิดเงาที่น้ำตก ทำให้เราสามารถเก็บท้องฟ้าและเมฆด้านหลังได้ด้วยการถ่ายเพียงชอตเดียว
น้ำตก Havasu นั้นเราสามารถลงไปเล่นน้ำได้ด้วย มีทั้งส่วนที่เป็นน้ำตื้น และน้ำลึก (อยู่ใต้ตัวน้ำตกพอดี) แม้ว่าลายหินปูนสวยๆจะถูกทำลายไปจากน้ำป่าแล้ว แต่ชาวอินเดียนก็สร้างของเทียมขึ้นมาใหม่จากปูนซีเมนต์ครับ แม้ว่าจะไม่สวยเท่ากับของจริงตามธรรมชาติ แต่ก็ถือว่าสร้างสีสันให้กับตัวน้ำตกขึ้นมาเลย
ถ้าได้มา Havasu Falls แล้ว ห้ามพลาดเล่นน้ำนะครับ เตรียมเสื้อชุดว่ายน้ำมาด้วย รับรองฟินแน่นอนๆ
ถัดไปไม่ถึง 1 mi ก็จะถึงน้ำตกอีกอันซึ่งสูงกว่า ชันกว่า และสวยไม่แพ้กัน นั่นคือน้ำตก Mooney Falls ครับ ทางลงน้ำตกนี้จะชันมาก หากใครไม่มั่นใจในทักษะการปีนป่าย หรือเป็นคนกลัวความสูง ผมก็แนะนำให้ลงไปแค่จุดชมวิวตรงกลางทางครับ หากลงไปถึงด้านล่างน้ำตกนั้นจะต้องปีนป่ายบันไดลิงลงไป ความชันเกือบๆ 90 องศาเลย ซึ่งบันไดลิงนี้ก็ลื่นพอสมควรเนื่องจากโดนละอองน้ำตกอยู่ตลอดเวลา แต่วิวด้านล่างรับรองว่าสวยมากๆครับ
ป้ายเตือนก่อนลงไปด้านล่างน้ำตก ขอบคุณภาพจากพี่พอลครับ
photo credit Phitha Photography
น้ำตก Mooney จะมีดินโคลนแข็งคล้ายๆหินย้อย ซึ่งมุมนี้เป็นมุมฮิตมุมนึงของน้ำตกนี้ครับ หากเดินลงมาเรื่อยๆเราจะลอดอุโมงค์ พอที่สุดปลายอุโมงค์ก็จะเห็นหินย้อยรูปปีกนกอันนี้เลย ผมพลาดที่ไม่ได้มาถ่าย reflected light ซึ่งจะเกิดตอนบ่าย แต่ผมมาตอนเช้า สีสันก็เลยไม่สวยนัก ถ้าอยากชมว่าหินรูปปีกนกเมื่อโดน reflected light จะสวยขนาดไหน ต้องดูในภาพของ Andrew Waddington ครับ
จากจุดนี้ลงไปนั้นก็จะเป็นบันไดลิงชันเกือบๆ 90 องศาแล้วล่ะครับ เสียวมากขอบอก ผมเองยังไม่ได้ลงไปเลย 555
หลังจากฟินกันที่น้ำตก Mooney แล้วเราก็รีบกลับมาที่แคมป์ เก็บของ แล้วเดินกลับหมู่บ้าน Supai เพื่อมาจองคิวเฮลิคอปเตอร์ครับ เฮลิคอปเตอร์นี้มาจากบริษัท Airwest คิดราคาต่อหัวคนละ $85 สำหรับการบินหนึ่งขา ไปกลับก็ $170 ก็ถือว่าไม่แพงมาก ได้ชมวิวจากมุมสูงด้วย ผมว่าการเดินเข้า (เดินลงเขา) และนั่ง ฮ. ออกก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะครับ ไม่เหนื่อยจนเกินไป เฮลิคอปเตอร์นี้ไม่ต้องจองล่วงหน้าครับ ขอแค่มาลงชื่อในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึงบ่ายโมง และก็จะได้บินตามคิวครับ ของผมลงชื่อประมาณเกือบๆสิบเอ็ดโมง แต่ได้บินจริงๆบ่ายสอง เพราะคนบินออกเยอะพอสมควร และทางบริษัทฮ. จะให้ชาวอินเดียนแดงได้สิทธิบินก่อนนักท่องเที่ยวครับ หากว่าเราลงชื่อภายในบ่ายโมง ก็จะได้การันตีว่าจะได้บินออกแน่ๆ เขาจะบินไปกลับจนกว่าจะส่งผู้โดยสารของวันนั้นหมดครับ ฉะนั้นถ้าได้ลงชื่อก็จะหมดห่วงครับ อ้อ จ่ายค่า ฮ. เป็นเงินสดดีกว่า เพราะว่าเค้าคิดค่าชาร์จบัตรเครดิตแพงมากๆเลย
พวกผมบินมาถึง Hilltop ราวๆบ่ายสองครึ่ง ขับรถออกไปที่ Kingman ราวสี่โมงเย็น กว่าจะถึงแอลเอก็เกือบห้าทุ่ม เป็นอันปิดทริปวันหยุดสุดสัปดาห์แบบชิวๆ ฟินกับน้ำตกสีเทอควอยซ์ ออกเดินทางเย็นวันศุกร์ กลับถึงบ้านก่อนเที่ยงคืนวันอาทิตย์พอดี 🙂
ทิ้งท้ายไว้กับคลิปวีดีโอน้ำป่านะครับ แม้ว่าน้ำตก Havasu และ Mooney จะสวยแค่ไหน แต่ Safety First ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าให้ความชะล่าใจกลายเป็นความประมาทนะครับ
ปี 2008 น้ำแรงขนาดไหน ดูกันเลยครับ