เมื่อต้นเดือนกรกฏาคม ผมกับเพื่อนๆอีก 4 คนไปดูหมีกริซลี่ (Grizzly) จับปลาแซลมอนที่อลาสกามาครับ การเดินทางเป็นยังไง ติดตามกันครับ
เรื่องมันเริ่มจากผมกับเนใกล้จะกลับไทยแล้ว เหลือเวลาในท่องเที่ยวอเมริกาอีกไม่ถึงปี ก็เริ่มทำ checklist ว่ามีอะไรที่เรายังอยากไปกันอยู่บ้าง ผมเองก็ไปอลาสกามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้ไปดูหมีจับปลาซักที หมีจับปลานี่เลื่องชื่อมากๆ เรียกได้ว่าเป็นภาพๆนึงที่เป็นตัวแทนของความสมบูรณ์ทางธรรมชาติของที่นี่เลย มาอยากไปมากๆเพราะได้เห็นรีวิวของคุณ 77mm ในพันทิปด้วย
หมี Grizzly bear หรือหมีสีน้ำตาล (สปีชีส์เดียวกัน) นั้นเห็นได้ทั่วไปในอลาสกา เรื่อยไปจนถึงทางตะวันตกของแคนาดาอย่างรัฐ Yukon, British Columbia และ Alberta และมีบางส่วนอยู่ Montana ก็มี แต่หมีพวกนี้จะอยู่อย่างกระจัดกระจายมากๆ คนส่วนใหญ่จะมาดูหมีที่ Katmai National Park หรือ Lake Clarke National Park เพราะมีประชากรของหมีหนาแน่น ที่ Kodiak Island ก็มีหมีด้วยนะครับ แต่จะเรียกว่า Kodiak bear ซึ่งหน้าตาจะต่างออกไป สำหรับ Katmai National Park นี้ก็ถือว่าเป็นจุดที่นิยมมากๆ เพราะว่าหมีจะมากระจุกตัวอยู่ในบริเวณแคบๆรอบน้ำตก เพื่อจับปลาแซลมอนกิน
ช่วงที่มีจะเยอะนั้นมีสองช่วง คือเดือนกรกฏาคม เป็นช่วงที่ปลาแซลมอนเดินทางมาจากทะเลเพื่อไปวางไข่ที่ต้นน้ำ (เรียกว่า salmon run) และมันก็จะเดินทางผ่าน Brooks Falls ซึ่งหมีก็รอเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ หมีเหล่านี้จะคึกคักจับปลามาก เพราะมันไม่ได้โปรตีนอะไรเลยมาตลอดหน้าหนาว และแซลมอนก็โดดเอาโดดเอา คึกคักมากๆ เราก็จะได้เห็น action ของหมีมากมาย ต่างตัวก็มีวิธีการอันแยบยลเพื่อทำการจับปลาไม่เหมือนกัน พอพ้นช่วงนี้ไปแล้วในเดือนสิงหาคม หมีก็จะเดินทางตามแซลมอนบ้าง บางกลุ่มก็ไปหา berry กิน สำหรับอีกช่วงคือเดือนกันยายน เป็นช่วงที่แซลมอนวางไข่เสร็จแล้ว และไหลลงมาตามน้ำ ที่ไหลเพราะมันตายนั่นเองครับ ใช่แล้วครับ หลังจากแซลมอนใช้พลังงานทั้งหมดเพื่อกระโดดข้ามน้ำเดินทางไปวางไข่ เมื่อวางไข่เสร็จแล้วมันจะหมดแรงหมดพลังกายที่มี และก็นอนตายในที่สุดครับ ช่วงนี้เราก็จะเห็นหมีกินแซลมอนกันอย่างสบายๆ ไม่ต้องออกแรงจับอะไร และหลังจากนี้หมีก็จะเตรียมพร้อมเข้าหน้าหนาว และจะหายไปบนภูเขา ฉะนั้นถ้าใครอยากมาเห็นลีลาและความมันส์ ก็ต้องมาเดือนกรกฏาคมเท่านั้นนะครับ
การเดินทาง
สำหรับจุดชมหมีนั้นจะอยู่ที่ Brooks Falls ซึ่งเป็นส่วนหลักของอุทยานแห่งชาติ Katmai การเดินทางนั้นผมจะพูดถึงการนั่งเครื่องบินมี 2 เส้นทางครับ อย่างแรกคือบินตรงมาจาก Anchorage เลย ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง ส่วนมากจะเป็น one-day tour ออกตอนเช้า และกลับตอนเย็น แต่ผมไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้ ซึ่งเดี๋ยวผมจะกล่าวถึงภายหลังครับ
วิธีการเดินทางที่ผมใช้คือ ตั้งต้นจากสนามบิน Anchorage International Airport (ANC) แล้วต่อเครื่องบินมายังสนามบิน King Salmon (AKN) ซึ่งเป็นสนามบินเล็กๆ อยู่ในเมืองเล็กๆ (เผลอๆเรียกว่าชุมชนเล็กๆจะดีกว่า) เมืองนี้มีประชากรราวๆ 500 คนเท่านั้นเอง สายการบินที่ให้บริการมายัง King Salmon คือ PenAir (ผมเพิ่งรู้ตอนก่อนบินว่ามันย่อมาจาก Peninsula Airways 5555) และ Alaska Airlines ซึ่ง PenAir จะใช้เครื่องบินใบพัด มีเที่ยวบินเยอะกว่า ราวๆ 6 เที่ยวบินต่อวันในช่วง peak season ของการดูหมี ส่วน Alaska Airlines มีแค่เที่ยวเดียวในตอนบ่าย แต่เครื่องใหญ่กว่า เป็นเครื่องไอพ่น ถ้าใครไม่ชอบเสียงดังๆก็คงต้องเลือก Alaska airlines นะครับ ค่าตั๋วเครื่องบินจะตั้งต้นราวๆที่ไปกลับ 400 USD ซึ่งก็แพงพอสมควรสำหรับเที่ยวบินสั้นๆแค่ชั่วโมงนิดๆ
สนามบิน King Salmon ผมว่าพื้นที่สนามบินใหญ่กว่าตัวเมืองเสียอีก 55
หากใครมีไมล์ของ Alaska airlines หรือใช้ alaska airline credit card (ออกโดย bank of america) ก็สามารถแลกไมล์ได้ในราคา 7,500 ไมล์ต่อเที่ยว หรือถ้าจะตีตั๋วไปลง west coast ของอเมริกา อย่างเช่นแอลเอหรือซานฟราน ก็จะใช้ 12500 ไมล์ต่อเที่ยวเท่านั้น ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆๆ สำหรับการแลกไมล์ ปกติ 12,500 ไมล์นี่เป็นเรทขั้นต่ำสำหรับแลกตั๋วในประเทศของสายการบินทั่วๆไปอย่าง united หรือ delta เลยครับ หากใครวางแผนจะไปที่นี่ผมแนะนำให้สะสมไมล์ตั้งแต่วันนี้ สามารถบินกับสายการบินอื่นๆ เช่น american airlines, delta, LAN airlines แล้วเก็บไมล์เข้า alaska airlines ก็ยังได้ครับ หรือจะเตรียมสะสมเครดิตเพื่อเปิดบัตรเครดิตไว้ตั้งแต่เนินๆก็ดีครับ ถ้าเปิดบัตรเครดิตจะได้ไมล์ราวๆ 25,000 miles ครับ โดยไมล์ของ alaska นี้สามารถแลกไฟลท์ของ PenAir ได้ด้วย
สำหรับผม ผมแลกไมล์ของ delta บินจาก LAX ไป Anchorage จากนั้นผมซื้อตั๋วบิน PenAir ขาไป ANC-AKN ราคา 236 USD ส่วนขากลับผมใช้ไมล์ของ alaska แลกยาวจาก AKN กลับ LAX เลยครับ
PenAir ให้โหลดกระเป๋าฟรี 1 ใบ ส่วน Alask airlines ถ้า route อยู่ในอลาสกา สามารถโหลดได้ฟรี 3 ใบครับ
จาก King Salmon แล้วเราจะต้องเดินทางไปยัง Brooks Camp ซึ่งต้องนั่งเครื่องบินแบบ seaplane ไป สามารถซื้อตั๋วได้จากเวบของ Katmai Air ในปีที่ผมบิน ราคาไปกลับคนละ 206 USD ซึ่งเมื่อรวมๆกับตั๋วจาก Anchorage แล้วก็ต้นทุนเยอะมิใช่น้อยเลย แต่ก็เอาน่ะๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตครับ สายการบินจะมารับเราที่สนามบิน King Salmon และพาเรานั่งรถไปที่จุดขึ้นเครื่องบิน seaplane ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน รันเวย์ก็อยู่ริมแม่น้ำข้างๆสนามบิน King Salmon นั่นเอง
Katmai Air จะจำกัดน้ำหนักเหลือที่ 50 ปอนด์ (23 kg) นับรวมทุกกระเป๋า ทั้ง checked bags และ carry on bags ครับ แต่ผมเฉลี่ยๆกันห้าคน รวมๆแล้วก็ไม่เกินอย่างที่คิดไว้ครับ หากใครของเยอะ จะฝากไว้ที่บริษัท Katmai Air ก็ได้ และบินไปแค่ของที่จำเป็นครับ อย่างพวก laptop ผมก็ไม่เอาไป ตาชั่งก็ที่เห็นอยู่ข้างๆหน้าต่างในภาพครับ ชิวมากๆๆๆ
ทาง Katmai Air จะดูแลเรื่องกระเป๋าให้ และนำกระเป๋าไปส่งที่ Brooks Lodge ที่อยู่ตรง Brooks Camp Visitor Center เลยครับ ตัว Brooks Lodge ก็บริหารโดย Katmailand เจ้าของเดียวกับ Katmai Air นั่นเอง เป็นบริษัทเอกชนบริษัทเดียวที่ได้รับสิทธิ์บริหารจัดการในอุทยานครับ เหมาเบ็ดเสร็จตั้งแต่การเดินทาง อาหาร ที่พัก
ทางขึ้นเครื่อง
เครื่องเก่ามาก น่าจะยี่สิบสามสิบปีได้ แต่รับรองว่าพาเราไปถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพแน่นอน
ที่พัก
มีสองตัวเลือกครับ อย่างแรกคือพักแบบนอนโรงแรมที่ Brooks Lodge (อย่าไปสับสนกับ Katmai Lodge นะครับ มันคนละที่กัน) ลักษณะห้องเป็น cabin คล้ายๆบังกะโลบ้านเรา เขาจะขายเป็น package รวมค่าตั๋วเครื่องบินจาก Anchorage แล้ว สามารถดูราคาและแพคเกจได้ที่เวบของ Katmailand ครับ ตั้งต้นก็คนละ 900 USD “ต่อคน” สำหรับการพักหนึ่งคืน ถ้าเป็นสองคืน 1100 USD ในส่วนนี้ก็เป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปแล้วซะ 750 USD ฉะนั้นค่าที่พักก็ตกราวๆ 150-200 USD ต่อคืน ต่อคน
และที่สำคัญ สำหรับการมาพักในช่วงที่แซลมอนมาเยอะๆนี้ ต้องจองล่วงหน้าข้ามปีด้วยครับ มีช่างภาพฝรั่งคนนึงมาจากอังกฤษ มาเป็นกลุ่มใหญ่ เค้าบอกว่าเค้าจองล่วงหน้าถึง 18 เดือน โอวแม่เจ้าาาาา นานไปมั้ยๆๆๆ
ตัวเลือกที่สองคือ campsite ครับ สามารถจองได้จากเวบ recreation.gov แล้วค้นหาว่า brooks camp ก็จะเจอโดยไม่ยากเลย แต่ campsite ทีนี่ก็จำกัดมากๆๆๆๆ เช่นกัน อุทยานจำกัดไว้ที่ 60 คนต่อวัน ซึ่งจะเปิดให้จองล่วงหน้าในวันจันทร์แรกของปี สำหรับปี 2015 นี้จองกันวันที่ 5 มกราคม เริ่มเปิดให้จอง 8 โมงเช้าตามเวลาอลาสกา ผมก็เล็งว่าจะมาจองแคมป์ช่วงกลางเดือนครับ เอาเข้าจริง คนจองเยอะกันจนเวบล่ม ฮาาาา ผมได้จองจริงๆตอนช่วงเที่ยง และแคมป์ก็เต็มไปเกือบหมดภายในสามชั่วโมงครับ คนเข้ามาจองเยอะมากจริงๆๆๆ ผมตั้งใจจะไปกลางเดือน นอนสักสองสามคืนกำลังดี แต่สุดท้ายแล้วมันเต็มหมด ผมเลยได้ช่วงต้นเดือนแทนครับ แถมได้แค่คืนเดียวซะด้วย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ 555
campsite ราคา 12 USD ต่อคนต่อคืนครับ (low season คนละ 6 USD) group size ห้ามเกิน 6 คน เห็นราคาที่ต่างจาก Brooks Lodge แล้ว ผมขอนอน camping ดีกว่าแบบไม่ต้องสงสัยเลย 5555 รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเวบของ Katmai National Park
ถ้าใครจะวางแผนมานอนพักที่นี่ ต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้านานๆนะครับ นานมากๆเลยทีเดียว
ที่ campsite มีแต่ห้องส้วม ไม่มีห้องอาบน้ำนะครับ แต่เราสามารถจ่ายเงินซื้อ token เพื่ออาบน้ำได้ที่ lodge หนึ่ง token นี้จะอาบได้ 10 นาที ราคา 7 USD ครับ พวกผมก็อาบกันสองวันครั้ง ฮาๆ
ก่อนไปทริป ผมลองเชคเวบจอง campsite อีกรอบนึง ปรากฏว่ามีว่างเยอะพอสมควร แสดงว่ามีคนยกเลิกเอาในช่วงสุดท้าย เท่าที่ผมดู แทบมีว่างทุกวัน วันละ 1-3 คน ถ้าใครมาเป็นกลุ่มเล็กๆ และสามารถเดินทางแบบ last minute ได้ ก็น่าลุ้นนะครับ หรือจะจองไป 1 คืนก่อน แล้วขอขยับขยายเพิ่มอีกคืนก็ได้เช่นกัน (แต่ต้องทำก่อนบินไป Brooks Camp นะครับ เพราะที่นั่นไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนต อาจจะไปจองที่ visitor center ก็ได้เช่นกัน) ยากที่สุดก็ตรงที่เลื่อนตั๋วระหว่าง Anchorage และ King Salmon นี่แหละครับ ส่วน seaplane น่าจะเลื่อนเข้าออกได้ไม่ยาก เพราะบริษัทนี้ชิวมาก 55555
รอบๆแคมป์มีรั้วไฟฟ้าครับ ไม่ต้องห่วงเลย เพราะไฟฟ้ามาจากโซล่าร์เซลล์ บางครั้งฝนตกบ่อย มันก็ไม่ทำงาน ฮาาาาาา
อาหารการกิน
ที่ Brooks Lodge มี trading post ซึ่งก็ออกแนวร้านขายของที่ระลึก มีขนมขมเคี้ยว และน้ำดื่มขายนิดหน่อย แต่ตัว Lodge มีร้านอาหารให้ทานสามมื้อครับ เป็นแบบ buffet ทั้งสามมื้อเลย แม้ว่าไม่ได้นอนที่ lodge ก็มาทานได้เช่นกัน ค่าเสียหายอยู่ที่มื้อเช้า 17 มื้อกลางวัน 22 และมื้อเย็น 35 USD ครับ (ราคาอาจจะเปลี่ยนแปลงได้) อาหารอร่อยทีเดียว มื้อเย็นที่ผมกินมี sockeye salmon และเนื้อแกะให้ทาน (แซลมอนคาดว่าจับเอาแถวๆนี้ 555) ซึ่งผมคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลย เพราะถ้าเราเอาอาหารมาทำกินเอง จะต้องคำนึงถึงเรื่องที่เก็บอาหารด้วย เพราะทางอุทยานไม่ให้เก็บอาหารไว้ในเตนท์ และห้ามนำอาหารติดตัวในระหว่างเดินไปเดินมาใน trail เราสามารถพกได้แค่น้ำเปล่า เหตุผลก็เพราะกันไม่ให้หมีเข้ามาหาในแคมป์ หรือบุกรุกมาแย่งอาหารจากคนนั่นเองครับ หมีพวกนี้จมูกดีมากๆซะด้วยสิ ที่ campsite จะมีบริเวณให้เก็บอาหาร และ picnic area สำหรับทำอาหารและทานอาหารอย่างเป็นสัดเป็นส่วน และตรง visitor center ก็จะมีอยู่อีกจุดนึง
พวกผมเองก็ประหยัดครึ่ง จ่ายเงินครึ่งครับ มื้อเช้าจะกินขนมปังที่เอาไปเอง มื้อกลางวันหนึ่งมื้อกินมาม่า สามารถขอน้ำร้อนได้จาก lodge ผมเลยไม่พกเตาแก๊สและหม้อสนามไปให้ยุ่งยากเลย ส่วนที่เหลืออีกสองมื้อก็จ่ายเงินกินกับ lodge
เจ้าหมีตัวนี้มาแกร่วริมน้ำแถวๆ lodge เลย จริงๆแล้วมันอาจจะพยายามบอกว่า ฉันมานั่งรอพี่ที่ริมน้ำทุกวันเลยนะ 555
ดูหมี
ก่อนอื่นเลยผมขอแนะนำให้ดูสารคดีสองอันนี้ก่อนนะครับ จะได้เป็นการเท้าความ มีคลิปนึงสั้น อีกคลิปนึงยาว (หนึ่งชั่วโมง)
ทางอุทยานได้ทำบรรณานุกรมหมีทุกตัวที่อยู่ในบริเวณนี้ด้วยครับ มี ebook ให้โหลดดูด้วย บริเวณที่ดูหมีจะเรียกว่า viewing platform ซึ่งมีสองจุดคือ Lower river กับ Brooks falls และที่เด็ดมากๆคือมี live webcam ให้ดูกันสดๆ ถ้าใครอยากดูหมีสดๆตอนนี้ก็เปิด youtube ได้เลยครับ ทั้งสองจุดนี้มี webcam ให้ดูทั้งคู่ครับ จะเปิดดูใน youtube หรือ explore.org ก็ได้
ที่ Lower river จะเป็นปากแม่น้ำกว้างๆ เป็นที่ชื้นแฉะ คนชอบมาตกปลา และมีหมีเดินบ้างกระจัดกระจาย สามารถถ่ายภาพแม่หมีกับลูกหมีที่ชอบมาเดินเล่นริมน้ำได้ครับ รูปที่เห็นครอบครัวหมี ก็ถ่ายกันจากที่นี่
Brooks Falls จะอยู่ห่างจาก Lower River ประมาณ 1 ไมล์ ก็ใช้เวลาเดินราวๆ 15-20 นาทีแล้วแต่ความฟิต ที่นี่จะมี อยู่ 2 platforms อันแรกคือ Falls platform อยู่ตรงที่ Brooks Falls เลย และจะมีอีกอันนึงคือ River platform ซึ่งอยู่ทางปลายน้ำออกมาอีกประมาณ 100 เมตร ซึ่งแน่นอนว่า Falls platform นั้นคนนิยมมากที่สุด เพราะจะได้เห็นหมีหลายๆตัวออกมาล่าแซลมอน ว่ากันว่าจำนวนหมีมากสุดอยู่ราวๆ 15 ตัวพร้อมกันครับ น่าตื่นเต้นทีเดียว
ก่อนอื่นเลยเราต้องทำใจก่อนว่า Falls platform นี้มัน popular เอามากๆ มันเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมา แต่ทางอุทยานจำกัดให้คนยืนได้ 40 คนเท่านั้น ฉะนั้นถ้ามีนักท่องเที่ยวมาก ก็จะมาเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวให้ชม โดยมากแล้วช่วงจัดคิวจะอยู่ในช่วงเดือนกรกฏาคมซึ่งหมีเยอะนี่แหละครับ เจ้าหน้าที่จะเริ่มจัดคิวตั้งแต่เก้าโมงเช้า เรื่อยไปถึงห้าโมงเย็น บางทีก็อาจจะต้องรอคอยยาวถึงสองชั่วโมง ถ้าคนเยอะมากจริงๆ แต่ก่อนเก้าโมง และหลังห้าโมงเย็นจะเป็นช่วงเวลาฟรีๆ คนไม่เยอะ เพราะนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับจะเดินทางกลับหมดแล้ว ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาทองสำหรับคนที่ค้างคืนที่นี่ และมีโอกาสได้ภาพมากจริงๆ และได้ดูหมีกันแบบใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วย แต่ viewing platform จะปิดตอนสี่ทุ่ม และเปิดอีกทีตอนเจ็ดโมงเช้าครับ จริงๆตอนหลังห้าโมงเย็นก็ยังพอมีคนอยู่บ้าง ผมได้ลองมาช่วงตอนเช้าของวันถัดมา ปรากฏว่าไม่มีคนเลยครับ ได้ครอง viewing platform ส่วนตัวเลยทีเดียว เค้าว่ากันว่าปลาจะกระโดดเยอะตอนเช้าด้วย และตอนเช้านี้หมีก็เริ่มออกล่าด้วย 🙂 พวกผมก็มากันตั้งแต่เช้าเลย
และที่ Fall platform นี้ไม่มีห้องน้ำนะครับ ถ้าใครต้องการทำธุระด่วน ต้องเดินย้อนกลับไป 1 กิโล ดังนั้นต้องเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเดินมา platform นะครับ
สิ่งที่น่าสนใจคือที่ Brooks Falls จะมีจุดที่หมีมาจับปลาอยู่หลายจุดเลย ตามภาพด้านบนจะพบว่าหมีหมีหนึ่งตัวนอนแช่น้ำ เหมือนแช่จากุซซี่ จุดนี้หมีจะเน้นดำน้ำลงไปจับ และจะเป็นตำแหน่งสำหรับหมีตัวที่มีศักดิ์ใหญ่ที่สุด ตัวใหญ่สุด พลังเยอะสุด เพราะตรงนี้แซลมอนจะกระโดดมากที่สุด (ผมเห็นว่าแซลมันมันกระโดดอยู่ที่เดียวจริงๆ) หมีตัวที่รองลงมาก็จะต้องไปจับตรงแอ่งที่ไกลกว่า หรือไม่ก็ปืนขึ้นไปบนน้ำตกแทน ซึ่งผมชอบจุดด้านบนน้ำตกมาก เพราะเราได้เห็น action ของหมีเต็มๆเลย
จะเห็นได้ว่า หมีมันก็มีการเมืองนะครับ ใครใหญ่กว่าได้ที่ดีกว่า 5555 เราเจอหมีบางตัวเดินมาไล่ที่หมีที่ตัวเล็กกว่าก็มี หรือไม่ไอ้ตัวใหญ่กว่าก็พยายามแย่งปลาที่ตัวเล็กจับได้ก็มี หมีใหญ่ที่มันเลวๆนี่ก็เลวได้ที่จริงๆ ผมเรียกมันว่าหมีมาเฟียแล้วกัน 555
บ่อยครั้งเราก็จะเห็นศึกวันชิงดำ หมีชนหมี เนื่องด้วยเหตุแย่งที่กัน
หมีตัวที่เด็กกว่า อ่อนกว่า ก็ต้องไปนั่งแกร่วจับปลาอยู่ปลายน้ำแทน
สำหรับที่ Lower River ก็เป็นบริเวณกว้างมากๆครับ กว่าจะซูมถึงหมี ก็ต้องใช้เลนส์ซูมเยอะหน่อย ผมมี 400mm ยังไม่พอเลยครับ ตรงนี้เราจะไม่ค่อยเห็นหมีจับปลาซักเท่าไหร่ ผมเห็นแต่หมีกินหญ้า (แต่ห่านฟ้ากินยุงนะ)
แถวนี้จะมีคนมาตกปลากันเยอะพอสมควรเลย นักตกปลากลุ่มนี้ต้องสอบ license ก่อนครับ และกฏ 50 เมตรก็ยังใช้อยู่ หากหมีเข้ามาใกล้ด้วยเหตุหมีอะไรก็ตาม ก็ต้องหยุดตกปลาแล้วเดินถอยห่างเองครับ ที่นี่ กฏหมีมาก่อนกฏหมู่ครับ 555 ถ้าใครอยากลองตกปลาเล่นๆ สามารถไปเช่าอุปกรณ์จาก lodge ได้ หรือจะถ้าอยากลองประสบการณ์ตกปลา แต่เริ่มต้นไม่เป็น ก็มีบริการไกด์พาทัวร์ตกปลาด้วย!!!
Safety First!!!
อย่างแรกเลย เราต้องทำตามกฏระเบียบของอุทยานอย่างเคร่งครัดมากๆๆๆ เพราะเราเองก็คงไม่อยากเป็นอาหารหมีใช่มั้ยล่ะครับ เมื่อทุกคนมาถึงที่ Brooks Camp แล้วจะต้องผ่าน Bear orientation หรือคลาสเบื้องต้นที่จะแนะนำให้เราปฏิบัติตัวให้ถูกต้องที่นี่ เช่น เก็บอาหารให้มิดชิดในที่ที่จัดไว้ ไม่พกอาหารติดตัว เมื่อเวลาเผชิญหน้าหมีควรทำอย่างไร ควรเว้นระยะอยู่ห่างจากหมีเท่าไหร่ เป็นต้น เจ้าหน้าที่แนะนำว่าเราควรทิ้งระยะห่งาจากหมี 50 เมตร เพราะแค่ 50 เมตรนี้หมีสามารถวิ่งมาถึงตัวเราได้ภายใน 3 วินาทีเท่านั้น ถ้าคิดระยะทางเป็น 100 เมตร หมีจะใช้เวลา 6 วินาที นี่มันเร็วกว่านักวิ่งโอลิมปิกเสียอีกครับ
อย่างสองคือเผื่อเวลาให้มาก ไม่ว่าจะเป็นเทรลใดก็ตาม มีโอกาสที่จะเผชิญหน้าหมีได้เท่าๆกัน และเจ้าหน้าที่จะคอยเป็นหูเป็นตาให้เราตลอด ถ้ามีหมีเริ่มล้ำเข้ามาในเส้นทางเดิน เจ้าหน้าที่จะปิดไม่ให้เราเดินทันที ดังนั้นเราต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆครับ ที่ lower river จะมีสะพานข้ามแม่น้ำอยู่หนึ่งจุด เชื่อมระหว่าง Brooks Lodge และเส้นทางที่จะไป Fall platform สะพานนี้เป็นจุดเสี่ยงมากๆที่จะโดนปิด เพราะถ้าหมีเข้าใกล้สะพานมากกว่า 50 เมตร เจ้าหน้าที่จะปิดการจราจรบนสะพานทันที นั่นแปลว่าเราไม่สามารถข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งได้เลย เหตุการณ์แบบนี้จะเรียกว่า bear jam ครับ คล้ายๆกับ traffic jam นั่นแล แถมสะพานนี้ก็ยาวซะด้วยสิครับ โอกาสที่หมีจะเข้ามาใกล้ตรงไหนก็ได้ เหมือนเป็นจุดยุทธศาสตร์เลย 555 เคยมีเหตุการณ์ที่เจ้าหมีตัวแสบเกิดง่วง มานอนตรงหัวสะพานมาแล้ว และก็เกิด bear jam ไปสามชั่วโมงโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามี bear jam นานขนาดนี้ ใครข้ามไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นเครื่องบินไม่ได้ ก็เรียกได้ว่าตกเครื่องบินกลับ King Salmon และเผลอๆจะตกเครื่องอีกหลายไฟลท์ยาวเลย ถ้าเวลาต่อเครื่องไม่มากพอ
เหตุการณ์แบบนี้ สะพานปิดแน่นอน
มีเวลาเท่าไหร่ดี?
โดยส่วนตัวผมแนะนำว่าควรมาอย่างน้อยสัก 3 วัน 2 คืน หรือมากกว่านั้นครับ อย่างน้อยจะได้คุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน และเราก็ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าวันไหนหมีจะเกิดขี้เกียจ วันไหนปลาแซลมอนจะมาเยอะ แม้ว่าจะเป็นช่วงพีคในเดือนกรกฏาคมก็ยังเดายากอยู่ดี ในแต่ละปี แซลมอนก็จะมาไม่พร้อมกัน ปกติเค้าว่ากลางเดือนดีที่สุด แต่ปีนี้ที่ผมไปมา ช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกรกฏาคมก็มีแซลมอนกระโดดกันแล้ว ส่วนมากระยะเวลาของ salmon run จะยาวประมาณสองสามอาทิตย์ วันไหนที่แซลมอนกระโดดมามาก วันนั้นหมีก็จับปลาง่าย และก็จะอิ่มเร็ว เมื่อหมีอิ่ม หมีจะนอนครับ เคร่ๆๆๆ วันนั้นเราก็จะเจอหมีน้อยลง เห็นแต่ปลากระโดด ฮาาาาา ฉะนั้นจำนวนปลาที่กระโดดย่อมมีผลมาก โดดน้อยไปก็ไม่ตื่นเต้น ไม่ได้ภาพสวย แต่ถ้าโดดมากเกินไปหมีก็หลบหายไปนอนเร็วเกินไปนั่นเอง ถ้าเราดวงดี คงได้จุดที่พอดีครับ
ที่อลาสกามี Department of Fish and Game ประมาณว่าเป็นกรมประมงนั่นแล และเวบไซท์ของที่นี่ก็จะระบุสถิติจำนวนปลาด้วยครับ สถิติเหล่านี้ได้มาจากเรือประมง สำหรับ Brooks camp ให้เลือก Naknek River นะครับ เพราะ Brooks Falls ที่เราดูหมีนั้นอยู่ตรง Brooks River ที่เชื่อมระหว่าง Brooks Lake และ Naknek Lake ฉะนั้นปลาจะเข้าทาง Naknek river ตรง King Salmon และมาทาง Brooks river ก่อนไปวางไข่ที่ต้นน้ำใน Brooks Lake อีกที
จากกราฟเราจะสังเกตว่ากราฟมีขึ้นมีลง ที่เป็นเช่นนี้มีหลายปัจจัย ปัจจัยนึงนั้นแน่นอนว่าขึ้นกับจำนวนแซลมอนที่ว่ายเข้ามาจากทะเล ส่วนอีกปัจจัยคือการที่เรือประมงที่นี่จับปลาครับ ทางการจะไม่ให้เรือประมงจับปลาตลอดเวลา เมื่อจับไปสักพักนึงจะต้องมีเว้นช่วง ช่วงที่เรือประมงจับปลาตรง Naknek river ปลาก็จะมาไม่ถึง Brooks Falls และเมื่อชาวประมงหยุดจับปลา ก็จะมีเวลาราวๆ 1-2 วันกว่าที่ปลาจะว่ายมาถึง Brooks Falls เท่าที่ผมลองสังเกตดู ปลาจะเยอะหนึ่งหรือสองวัน แล้วก็จะเว้นไปสองสามวัน แล้วปลาก็จะเยอะอีกครั้ง เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนหมดฤดู salmon run ครับ ฉะนั้นถ้าเรามาอยู่มากกว่า 1 วัน ก็จะมีโอกาสที่จะเห็น salmon run ได้ ช่วงก่อนหน้าที่ผมไป วันอังคารปลาเยอะ และมาเยอะเอาอีกทีวันศุกร์ ผมไปนอนคืนวันอาทิตย์และวันจันทร์กลับเห็นปลาไม่มากนัก แต่วันอังคารก็เยอะอีกครั้งครับ สรุปคือเดายากมาก ฮาาาา จากการวิเคราะห์ของผมแล้ว ถ้าอยู่ช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนกรกฏาคม ซัก 3 วัน 2 คืน หรือมากกว่านั้น ก็มีโอกาสสูงมากครับ ตากล้องที่นี่ส่วนมากมากัน 4 วัน 3 คืน
ถ้าใครมาแบบ one day จาก Anchorage ต้องทำใจหน่อยนะครับ กว่าจะมาถึง Brooks camp ก็คงประมาณ 9-10 โมงแล้ว ไหนจะต้อง orientation ไหนจะเวลากินข้าวเที่ยง (อย่าลืมว่าห้ามพกอาหารระหว่างเดินนะครับ) ไหนจะต้องเดินไปที่ platform อีกราวๆ 20 นาที และไหนจะต่อคิวรอดูหมี อาจจะรอถึงสองชั่วโมง รวมๆแล้วคงได้ต่อคิวแค่ครั้งเดียว ได้ดูหมีแค่หนึ่งชั่วโมง บ่ายสี่โมงเย็นก็ต้องมารอขึ้นเครื่องบินกลับแล้ว ถ้าเกิดในหนึ่งชั่วโมงนี้ แซลมอนไม่มา หรือหมีอิ่มเร็ว ก็ชวดเลยครับ จ่าย 750 เหรียญ แต่ต้องลุ้นดูหมีแค่ชั่วโมงเดียว นี่เรายังไม่ได้คำนึงเรื่องสภาพอากาศเลยนะครับ ถ้าอากาศไม่ดี โอกาสที่เครื่องบินจาก Anchorage จะดีเลย์มีสูงมาก และอากาศที่อลาสกาก็เดายากเสียด้วยสิครับ และอีกเรื่องนึงที่ลืมไม่ได้คือ bear jam นะครับ แค่มี bear jam ยาวสักชั่วโมงก็ทำให้แผนพังครืนเอาได้ง่ายเลย 55555 วันที่ผมจะกลับ ก็มี bear jam ราวๆครึ่งชั่วโมงด้วยครับ เพื่อนคนนึงเกือบตกเครื่องกลับด้วย 555
ฉะนั้นผมแนะนำให้วางแผนกันยาวๆ จะจอง lodge หรือ campsite ก็ได้ ตั้งเวลาตื่นขึ้นมาจองเลย แล้วก็มาสัก 2-4 วัน กำลังดีครับ มาเช้าเย็นกลับ โอกาสชวดมันสูงมากๆจนผมไม่อยากแนะนำให้ทำเลย
เดือนกรกฏา ถ้ามาได้ถูกช่วงและดวงดี รับรองได้เจอหมีอย่างจุใจแน่นอน ยุงอาจจะชุมสักหน่อยต้องทำใจครับ เดือนกรกฏาคมเป็นหน้าฝน ยุงเยอะเป็นเรื่องปกติของอลาสกา
ถึงเวลากลับแล้ว ขากลับเราไม่มีที่ขึ้นเครื่องบินหรูๆเหมือนที่ King Salmon นะครับ เดินขึ้นเครื่องกันด้วยไม้กระดานแคบๆนี่แหละ เสียวลื่นมากๆ แต่เจ้าหน้าที่ช่วยบริการอย่างดีและประทับใจมากๆเลย คุ้มค่าเครื่อง 206 เหรียญแน่นอน
อ้อ เกือบลืมไปว่า นอกจาก Brooks Falls แล้ว ที่ Katmai ยังมีทัวร์ไปชม Valley of 10,000 smokes ด้วย เป็นบริเวณที่เกิดภูเขาไฟระเบิดรุนแรงที่สุดในรอบร้อยปีครับ สามารถดูข้อมูลได้จากเวบไซท์ของอุทยาน หรือจองทัวร์ได้จาก Katmai Lodge tour ทัวร์นี้เริ่มเก้าโมงเช้า และสิ้นสุดตอนเย็น ฉะนั้นต้องมีเวลาทั้งวัน ถ้ามาแค่ 2 วันหนึ่งคืนอย่างผม เวลาจะไม่พอครับ
ถ้าใครเตรียมพร้อมแล้ว ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาดูหมี เมื่อได้มาก็ขอให้มีความสุขกับการดูหมีนะครับ ขอให้แซลมอนโดดเยอะๆ หมีคึกคัก 55
สวัสดีครับ