เมื่อต้นปี ผมใช้ช่วงวันหยุดสั้นๆ เดินทางไปญี่ปุ่น โดยผมตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ไว้ว่า อยากไปญี่ปุ่นที่ได้เปิดสถานที่ใหม่ ๆ ที่นักท่องเที่ยวยังน้อย คนยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก และก็ไปเจอวิว ๆ นึงที่ติดใจมาก เป็นวิวริมหน้าผากับทุ่งหญ้าสีเขียว (แน่นอนว่าต้องถ่ายหน้าร้อน และผมมาเร็วไปหน่อย 55)
และที่นี่คือเกาะ Oki Islands ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะหลัก 4 เกาะ โดยผมไปแค่ 2 เกาะคือ Nishinoshima และ Okinoshima (Dogo)
รูปทั้งหมดในรีวิวนี้ถ่ายจากมือถือนะครับ คุณภาพของภาพาอจจะสู้กล้องใหญ่ไม่ได้ แต่เน้นสะดวก เดี๋ยวนี้เที่ยวด้วยมือถือมันสะดวกขึ้นมากเลย บางส่วนเป้นภาพจากโดรน ซึ่งจะเขียนกำกับไว้นะครับ
Oki Islands อยู่ตรงไหน
เกาะ Oki อยู่ในจังหวัดชิมาเนะ (Shimane) หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินว่าจังหวัดชิมาเนะอยู่ตรงไหน ชิมาเนะ อยู่บนเกาะฮอนชู ถ้ามองจากเมืองฮิโรชิมาขึ้นมาทางทะเลด้านเหนือ ฝั่งตรงข้าม ก็จะเป็นจังหวัดชิมาเนะพอดี ทางตะวันออกเป็นจังหวัด Tottori และทางตะวันตกเป็นจังหวัด Yamaguchi ส่วนเกาะ Oki นั้นอยู่ห่างจากชายฝั่งไปอีกประมาณ 80 กิโลเมตร มีเกาะหลัก 3 เกาะคือ Dogojima (Oki หรือ Dogo), Nishinoshima Chiburijima และ Nakanishima โดยผมเลือกไปเกาะ Dogo และ Nishinoshima โดยพักเกาะละคืน
ทางการท่องเที่ยวของเกาะได้ทำเวบไซท์ภาษาอังกฤษไว้ด้วยครับ สะดวกและละเอียดมาก ตาม link นี้เลย https://visit-okiislands.e-oki.net/
การเดินทาง
ขอเขียนละเอียด ยาวหน่อยนะครับ การเดินทางไปยังเกาะ Oki ทำได้สองวิธี คือ ทางเรือ โดยเรือ Ferry และทางเครื่องบิน บนเกาะ Okinoshima ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด มีสนามบินเล็ก ๆ ที่รองรับเฉพาะเครื่องบินใบพัด ซึ่งมีเฉพาะ JAL เท่านั้นที่ให้บริการ มีบินจากสนามบิน Izumo หรือ Osaka-Itami
แต่เนื่องจากผมต้องการไปที่จุดถ่ายภาพต่าง ๆ และไปเที่ยวสองเกาะ ก็เลยต้องเช่ารถ และรถเช่าบนเกาะก็หาได้ค่อนข้างยาก เป็นบริษัท local เล็ก ๆ แถมถ้าย้ายเกาะยังต้องเช่าสองรอบ คนละที่ และค่าเช่ารถก็แพงกว่าเช่าจากบนฝั่ง ผมก็เลยเลือกเดินทางด้วยเรือ Ferry
การมาจังหวัดชิมาเนะ สามารถมาด้วยรถไฟ นั่งชินคันเซ็นมาลงที่ Okayama แล้วต่อรถไฟข้ามจังหวัดอีกที (จังหวัดชิมาเนะยังไม่มีรถไฟชินคันเซ็นเข้าถึง) ส่วนผม เนื่องจากเวลาจำกัด ก็เลยเลือกบินเอา โดยบินการบินไทยรอบดึกจากกรุงเทพฯ มายัง Tokyo-Haneda ตอนเช้า แล้วต่อเที่ยวบินในประเทศของ JAL มาลง Izumo Airport (รหัสสนามบิน IZO) ซึ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ออกจากกรุงเทพ 23.15 น. ถึงสนามบิน Izumo ตอน 11.30 น. รวมเวลาเดินทางก็ประมาณ 10 ชั่วโมงเศษ ๆ สำหรับที่ Haneda ให้เผื่อเวลาต่อเครื่องสัก 3 ชั่วโมง เนื่องจาก ตม. คิวอาจยาว และต้องย้าย Terminal จาก International Terminal มายัง Terminal 1-2 (Domestic ด้วย) นอกจาก Izumo แล้ว ยังสามารถมาลงสนามบิน Yonago Kitaro Airport (YGP) ได้ ซึ่งสนามบินนี้จะอยู่ในจังหวัด Tottori ครับ แต่ผมเลือกบินลงที่ Izumo เพราะรอบเวลาต่อกับเรือ Ferry ได้ดีกว่า
เตรียมขึ้นเรือ Ferry ที่ Sakaiminato
จากสนามบิน Izumo ผมรับรถเช่ากับ Toyota Rent a Car (มีหลายบริษัทให้เลือก) ขับรถประมาณ 45 นาที ข้ามมาจังหวัด Tottori ขึ้นเรือ Ferry ของ Oki Ferry เราสามารถนำรถขึ้นไปได้ ถ้าจ่ายค่านำรถขึ้น Ferry ค่าใช้จ่าย จะรวมคนขับแล้ว 1 คน และช่วงที่ผมไปมีตั๋วโปร สำหรับผู้โดยสารอีกคน ถ้ามี stamp จากโรงแรม และกิจกรรมบนเกาะ สามารถแลกขากลับได้ฟรี จ่ายแค่ขาไป (อารมณ์ให้เราสนับสนุนการท่องเที่ยวของเกาะนั่นเอง) ซึ่งเราสามารถดูรอบเรือ และค่าโดยสารได้ที่ website https://www.oki-kisen.co.jp/
รายละเอียด special fare https://www.oki-toku.jp/en/
การจองเรือ Ferry นั้นค่อนข้างยากหน่อย เพราะต้องโทรจองเท่านั้น และต้องสื่อสารภาษาญี่ปุ่น ผมเลยฝากน้องแพง ตากล้องคนญี่ปุ่น เอ้ย คนไทยในญี่ปุ่น ช่วยจองให้ครับ ขอบคุณน้องแพงมาก ๆ ถ้าใครมาญี่ปุ่นแล้วอยากได้ช่างภาพ ติดต่อแพงจี้ได้เลยครับ งานดีมากมาย และรู้ location สวย ๆ หลายที่เลย
ที่นั่งแบบชั้นสอง ก็นอนบนพื้นกันไปเลย เป็นพื้นพรม และมีหมอนสี่เหลี่ยม (อารมณ์หมอนสมัยก่อน) วางอยู่ในชั้นที่เห็นในภาพ
ท่าเรือที่ขึ้น จะมีสองท่าคือ Sakaiminato และ Shichirui ผมจองเรือเป็น 3 เที่ยวคือ
เที่ยวแรก จากตัวแผ่นดินใหญ่ ออกจากท่าเรือ Sakaiminato 14.25 น. ไปยัง Nishinoshima ท่าเรือ Beppu ถึง 17.05
เที่ยวสอง จาก Nishinoshima ไปยัง Dogo ออก 12.20 ถึง 14.00
เที่ยวกลับ จาก Dogo กลับมายังแผ่นดินใหญ่ ออก 15.00 ซึ่งเรือมาจอดคนละ port โดยขากลับลงที่ Shichirui ถึงตอน 17.30
ตารางเรือในแต่ละเดือนอาจไม่เหมือนกันนะครับ ให้ตรวจสอบรอบเรืออีกทีทาง website https://www.oki-kisen.co.jp/ ครับ
นอกจาก Ferry แล้วยังมีเรือเร็วด้วยนะครับ เรียกว่า Rainbow Jet แต่ว่านำรถยนต์ขึ้นไม่ได้ ดังนั้นก็เลยข้ามไป
ที่จอดรถบนเรือ รถบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้นมาได้สบาย
และเนื่องจากวันสุดท้ายเรือมาถึงค่อนข้างเย็น ทำให้ไปขึ้นเครื่องรอบสุดท้ายเข้า Haneda ไม่ทัน ก็เลยนอนที่ Matsue อีกคืนนึง แล้วค่อยบินเข้าโตเกียว และกลับไทยรอบดึก บิน redeye flight ขากลับผมยังได้แลกไมล์ช่วงที่ Alaska Airlines ยังมีเรทดีมาก ๆ คือนั่ง Business class ขาละ 25,000 ไมล์เท่านั้นเอง (ตอนนี้ขึ้นเท่าตัวเป็น 50,000 ไมล์แล้ว) และได้แลกเส้นทาง IZO-HND-BKK ยาวเลย คุ้มมาก ๆ เพราะได้แถม Domestic ด้วยในเรทไมล์ที่เท่ากัน ไว้จะมารีวิวเที่ยวบินอีกทีครับ
ชายฝั่งที่ Nishinoshima
เนื่องจากผมมาที่ Oki Islands ในช่วงปลายฤดูหนาว ซากุระใกล้จะบานแล้ว แต่ทุ่งหญ้าไม่เขียว ต้นไม้ยังไม่ค่อยแตกใบ ถ้ามาหน้าร้อนต้องสวยมากอีกแน่นอน และก็ไม่เจอนักท่องเที่ยวอื่นเลย ไม่เจอคนไทย จีน ฝรั่งแม้แต่คนเดียว 555 เจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นประปรายในเมือง จุดถ่ายภาพที่ไปก็ไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย เป็นการเปิดประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นแบบส่วนตัวมาก ๆ ใช้ Google translate รัว ๆ เพราะแทบไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้เลยครับ 555
มาลงรายละเอียดจุดถ่ายภาพในแต่ละเกาะดีกว่า
Nishinoshima
วันแรก เรามาถึง Nishinoshima ก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว พอลงจากเรือก็เลยมุ่งหน้าไปที่จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกก่อนเลย จุดชมวิวนี้ชื่อ Kuniga Coast 隠岐国賀海岸 ที่นี่มี Seastack สวย ๆ แปลกตาเยอะมาก ชอบตรงที่มีหินนึงแหลมสวยชื่อ Kannon Rock 観音岩
ถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกเพลินมากๆ และตรงนี้มี Arch ให้ชมด้วย ชื่อว่า Tsūtenkyō Arch 通天橋
Kannon Rock 観音岩
Tsūtenkyō Arch 通天橋
Tsūtenkyō Arch 通天橋 (โดรน)
ใกล้กันนี้มีเสาโทริอิเล็กๆด้วย
ถ่ายป้ายมาให้ดู เผื่อใครอยากอ่านข้อมูลครับ คลิกที่ภาพได้เลย
ผมชอบที่นี่มาก เลยมีรูปให้ดูเยอะหน่อย มุมโดรนก็สวยไม่แพ้กันเลย คุ้มแล้วที่นั่งเรือมา 3 ชั่วโมง และพอลงจากเรือปั้บก็ต้องซิ่งมาให้ทันพระอาทิตย์ตกด้วย
Kuniga Coast (โดรน)
Kuniga Coast (โดรน)
ในภาพจะเห็นถนนที่เราขับมา คดเคี้ยวลงมาถึงริมทะเล แต่รถจะลงไม่ถึงด้านล่าง ต้องจอดด้านบนแล้วเดินลงไป ขากลับก็เดินขึ้นพอให้ได้ 1 หอบครับ
Kuniga Coast (โดรน) รอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
Kuniga Coast (โดรน) หลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว จุดนี้อยู่ใกล้ ๆ ลานจอดรถมีโต๊ะปิกนิก
ตอนเช้า เราขับรถขึ้นเขา มาชุมวิวจากมุมสูงอีกที่นึงที่ชื่อ Matengai Cliff 摩天崖 ซึ่งก็คือภาพปกของโพสนี้นั่นเอง และเป็นวิวที่ทำให้ผมอยากมา Oki Island นี้ด้วย วิวยังกับอยู่สกอตแลนด์เลยทีเดียว หน้าผาอลังการมากๆ
Matengai Cliff 摩天崖 สวยอย่างกับสกอตแลนด์ (ที่ยังไม่เคยไปนะครับ 55)
Matengai Cliff (โดรน)
มีม้าสองตัว เป็นม้าที่นี่คงมีความสุขมาก อากาศดี วิวดี
เจอคนที่จุดชมวิวคนแรก แต่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวครับ 555 เป็นคนลุงคนญี่ปุ่นมาให้อาหารม้า
หลังแสงเช้า มีโอกาสแวบไปอีกสองจุดคือ Yurahime Shrine 由良比女神社 ซึ่งถ้ามาช่วงซากุระบานก็สวยไม่น้อยเลย อีกจุดคือจุดชมวิวมุมสูงอีกจุดที่ชื่อ Akao Lookout 赤尾展望所 แต่ผมมาตอนสายแล้ว แดดเปรี้ยงเลยถ่ายรูปได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก
Yurahime Shrine 由良比女神社
Akao Lookout 赤尾展望所
สำหรับโรงแรมบนเกาะนี้ ซึ่งก็มีน้อยเหลือเกิน ผมจองที่ Reso Oki Rosage Hotel リゾ隠岐ロザージュ จองผ่าน Japanican คืนละ 26,400 JPY รวมอาหารเย็น และอาหารเช้าด้วย และเราสองคนก็เป็นแขกคนเดียวของโรงแรม 555
โถงกลางโรงแรม วิวดีมากๆ
ที่เกาะนี้มีร้านสะดวกซื้ออยู่แห่งเดียวคือ Yamasaki ไกลขนาดนี้ ไม่มี Lawson, 7-eleven หรือ Family Mart แน่นอน 55
Okinoshima (Dogo)
เกาะ Dogo นั้นใหญ่กว่ามาก และขับรถไปแต่ละจุดใช้เวลา 30-60 นาที และถนนบางเส้นค่อนข้างแคบ ผมมาถึงเกาะในช่วงบ่าย ๆ ก็เลยแวบไปเชคอิน เก็บภาพต้น Cedar แล้วค่อยออกไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกทางชายฝั่งตอนเหนือ ที่มีจุดท่องเที่ยวดังมาก ๆ คือ Candle Island หรือเกาะเทียนนั่นเอง ถ้ามาช่วงฤดูร้อนจะมีเรือพาไปชมรอบๆ เกาะด้วย แต่ผมมาเร็วเกิน ยังเป็นช่วงปลายฤดูหนาว
ข้าม Ferry อีกครั้ง คราวนี้เข้าทางหัวเรือ
ที่เกาะ Dogo นี้จะมีต้น Cedar ที่โด่งดังอยู่ 2 แห่งคือ Kabura-sugi Japanese Cedar かぶら杉 และ Chichi-sugi Japanese Cedar 岩倉の乳房杉
Kabura-sugi Japanese Cedar นั้นมาง่าย เพราะอยู่ริมถนนเลย ลำต้นใหญ่มากๆ มีแตกลำต้นออกมา 5-6 ลำต้น
Kabura-sugi Japanese Cedar
Kabura-sugi Japanese Cedar ใหญ่มากจนต้องเอาเลนส์ไวด์ เสยแนวตั้ง ถึงจะเก็บได้หมด
อีกแห่งคือ Chichi-sugi Japanese Cedar ซึ่งเรามาเก็บในเช้าวันถัดมา จุดนี้จะมายาก ถนนเล็กและแคบ เลนเดียว บางช่วงเป็นลูกรัง ถ้ามารถใหญ่ไม่แนะนำให้มาครับ ขับค่อนข้างยาก แต่ความสวย ความขลัง ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย นี่ถ้าได้มาพร้อมหมอก คงสวยมีมนต์เสน่ห์น่าดู
Chichi-sugi Japanese Cedar
นอกจากการไปชมต้นไม้ เรายังได้ไปจุดชมวิวริมทะเลอีก 2 จุดคือ Jōdogaura Coast 浄土ヶ浦 ไปตอนแสงเช้า และ Rosoku-jima Lookout Point ローソク岩展望台 ไปตอนแสงเย็น
ซึ่ง Rosoku-jima ก็คือเกาะเทียน หรือ Candle Island นั่นเอง ที่ผมได้กล่าวไปว่าในช่วงหน้าร้อนจะมีเรือพาไปชม แต่ช่วงปลายฤดูหนาวแบบนี้ผมก็เลยบินโดรนไปแทน
Rosoku-jima เกาะเทียน (โดรน)
Rosoku-jima เกาะเทียน (โดรน)
ข้อดีของการมีโดรนคือ ได้มุมเหมือนนั่งเรือด้วย หรือมุมสูงก็ได้
Rosoku-jima Lookout Point (โดรน) ชายฝั่งจากใกล้ๆเกาะเทียน สวยมาก
Rosoku-jima Lookout Point นั้นอยู่บนเขา ถนนแคบมากๆ และตอนที่ผมมา เหมือนไม่มีรถวิ่งเส้นนี้มานานมาก มีใบไม้ร่วงเต็มพื้นแทบไม่เห็นถนนเลย และมีต้นไม้ล้มอยู่บางจุด ถ้าเป็นไปได้ ไม่แนะนำให้มาเท่าไหร่ครับ เราสามารถไปชมเกาะเทียนจากอีกจุดที่ชื่อ Rosoku-jima Lookout (Candle Island) Walking Trail ローソク島遊歩道 แทนได้ ตรงนี้จอดรถสะดวก มีห้องน้ำ และมีทางเดินริมทะเล
Rosoku-jima Lookout (Candle Island) Walking Trail
Rosoku-jima Lookout (Candle Island) Walking Trail มุมโดรน
จากภาพนี้จะเห็นเกาะเทียนอยู่ไกลๆ ทางมุมซ้ายบนในภาพครับ
เช้าวันต่อมา ผมแวบไป Jōdogaura Coast 浄土ヶ浦 จุดนี้มาค่อนข้างง่ายมาก ถนนดี จุดนี้ต้องมี hiking เล็กน้อยถึงจะไปถึงจุดสวยได้ มีหินทรงสวยๆอยู่หลายที่เลย
Jōdogaura Coast
Jōdogaura Coast ถ่ายจากโดรนจะเห็นทรงของหินสวยกว่า
ก่อนขึ้นเรือกลับฝั่ง เราแวะไปจุดท่องเที่ยวอีกสองจุดคือ Funa-goya (Traditional Boat Houses) 屋那の松原の舟小屋群 เป็น boat house ที่อนุรักษ์ไว้ ดูคลาสสิค สามารถชมได้จากท่าเรือฝั่งตรงข้าม แต่ถ่ายภาพให้สวยยากหน่อย
Funa-goya ถ่ายจากโดรนเช่นกัน
และขากลับมาก่อนขึ้นเรือ (วันที่สาม) แวะชมศาลเจ้า Tamawakasu-mikoto Shrine 玉若酢命神社 ซึ่งน่าจะเป็นศาลเจ้าดังของเกาะนี้ครับ เจอนักท่องเที่ยว (คนญี่ปุ่น) สองสามคน และเป็นหนแรกที่เจอนักท่องเที่ยวบนเกาะนี้ด้วย จากจุดอื่นๆที่ไป ไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่ชมเกาะเทียน หรือต้น Cedar ไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย
Tamawakasu-mikoto Shrine
ที่เกาะ Dogo มีโรงแรมหลายแห่ง ตอนแรกเล็งว่าจะพักที่ Oki View Port Hotel 隠岐ビューポートホテル แต่ราคาดุมาก เลยไปจองที่ Oki Seaside Hotel MIYABI 隠岐シーサイドホテル แทน ซึ่งจองจาก Japanican เช่นกัน คืนละ 13,200 JPY รวมอาหารเช้า เป็นโรงแรมเรียวกังเก่าหน่อยๆ ไม่ค่อยประทับใจมากครับ
ไหนๆมาถึงเกาะ Oki แล้ว ก็ขอลองปลาดิบสักหน่อย เดินวนไปหลายร้านในเมือง ไม่รับนักท่องเที่ยวเลย (เพราะพูดญี่ปุ่นไม่ได้) สุดท้ายเจอร้านลุงใจดี Aoyagi 炉端焼き 青柳 อร่อยดีครับ สั่งแบบชี้ไปเรื่อยๆ 55 และมีหอยในตู้ น่าจะเป็นของ local ก็จัดมาอย่าได้เสียโอกาส ทานแล้วก็กรุบๆดีครับ สดมาก สมกับที่เป็นเกาะอยู่กลางทะเล
Shimane (mainland)
วันที่สาม ผมกลับมาถึงแผ่นดินใหญ่ก็ค่ำแล้ว เลยแวบไปถ่ายภาพช่วงฟ้าบลู กับถนน Aoishi-datami Street ได้บรรยากาศเมืองเก่า ซึ่งก็ไม่เจอนักท่องเที่ยวอีกแล้ว 55
บรรยากาศคลาสสิคมาก ถ่ายมือถือมายังสวยเลย ถ้ามาช่วงท่องเที่ยว ที่นี่คงครึกครื้นมาก
วันถัดมาเราออกสายหน่อย ขับรถเล่นเพลิน ๆ ทั้งวัน โดยเริ่มที่ Tamatsukuri Onsen เมืองออนเซ็น แวะทานร้านซูชิ Tamatsukuri Onsen Wakatake Sushi 若竹寿し อร่อยและราคาดีมาก แต่ไม่ได้แวะออนเซ็นนะครับ ที่นี่ก็เหมือนเมืองออนเซ็นทั่วไป ไม่ได้มีบรรยากาศสวยมากเหมือน Ginzan Onsen แต่ถ้ามาพักคืนนึงน่าจะชิว ๆ เลย รอบเมืองมี Foot spa ให้แช่เท่าเล่น ๆ ได้ฟรีด้วย
Wakatake Sushi
Wakatake Sushi
วันสุดท้ายของ Shimane เราขับรถเที่ยวบน mainland เป็นหลัก ตามโปรแกรมว่าจะแวะ Matsue Castle แต่ปรากฏว่าตื่นสาย เลยต้อง skip ไป มีเวลาได้ไปสองที่ ก่อนที่จะต้องไปขึ้นเครื่องกลับโตเกียวในช่วงค่ำ ก็เลยได้แวะไปที่ Iwami Ginzan และศาลเจ้าดัง Izumo Taisha 出雲大社 ที่ผมว่าใครมา Shimane ต้องแวะทุกคน
Iwami Ginzan เป็นเหมืองเงินเก่า ได้ถูกปรับมาเป็นจุดท่องเที่ยว ถ้ามีเวลา มีทัวร์พาเข้าไปในอุโมงค์ของเหมืองด้วยนะครับ น่าสนใจมากๆ ตัวเมืองก็เป็นสไตล์เมืองเก่าที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี มีตู้ไปรษณีย์สีแดงที่ใครๆก็มาถ่าย
Iwami Ginzan
Iwami Ginzan กับตู้ไปรษณีย์สีแดง
Iwami Ginzan
เดินจากที่จอดรถมานิดเดียว จะเจอวัด Rakan-ji Temple 羅漢寺 五百羅漢 ซึ่งมีถ้ำให้เราเข้าไปชมด้วยนะครับ แต่ที่ผมสนใจคือสะพานสุดคลาสสิคสามสะพานนี้ต่างหาก เลยต้องไปถ่ายเลียดคูน้ำ ได้มุมแปลกดี จริงๆมันก็คือสะพานที่ข้ามไปชมถ้ำนั่นเอง
Rakan-ji Temple
ก่อนขึ้นเครื่องบิน แวะศาลเจ้าสุดท้ายคือ Izumo Taisha ที่นี่มีร้านของฝากด้านหน้าเพียบเลย แต่ปิดเร็วมาก สี่โมงครึ่งก็เก็บร้านเกลี้ยงแล้ว
Izumo Taisha
Izumo Taisha
Izumo Taisha
ขากลับบิน JAL จาก Izumo เข้า Tokyo แลกไมล์ Alaska 25,000 ไมล์ ได้ Business Class ถึงไทยเลย โชคดีได้เครื่อง Boeing 767 ซึ่งมีที่นั่งแบบนอนราบได้ด้วย
สรุป
เกาะ Oki มี Landscape สวยมาก ชายฝั่งสวยมากจริงๆ วิวริมทะเลนี่ยกให้เป็น Number 1 ของญี่ปุ่นในใจผมตอนนี้เลย โดยเฉพาะเกาะ Nishinoshima ที่วิวยังกับสกอตแลนด์เลยทีเดียว หน้าผาอลังการมาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะลองกลับมาอีกในหน้าร้อนครับ
ถ้าเช่ารถขับเองมาจากแผ่นดินใหญ่ จะเที่ยวง่ายมาก ขับรถสะดวก ถนนดี ยกเว้นถนนบนเขาจะแคบหน่อย แต่ที่ดีกว่าคือเกาะยังไม่ค่อยดังมาก และด้วยความที่ไกลจากเมืองใหญ่ ทำให้นักท่องเที่ยวน้อยมาก ได้ชมวิวแบบ private สุดๆ เพราะบางจุดที่ไปก็ไม่เจอนักท่องเที่ยวเลยครับ
อย่าว่าแต่เจอคนไทยในทริปนี้เลย นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นก็แทบไม่เจอ 555 จำได้เลยว่าตอนเจอฝรั่งคนนึงเป็นเจ้าหน้าที่ใน museum รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะมีคนคุยภาษาอังกฤษในเกาะนี้แทบเป็นอะไรที่ amazing มากจริงๆ
เสียดายมีอีกที่นึงคือหน้าผาแดง Sekiheki Red Cliff 隠岐知夫赤壁 ที่อยู่เกาะ Chibu ที่ยังไม่มีโอกาสได้ไป ถ้าใครได้ไปครบทุกเกาะ ขอฝากไปชมหน้าผาแดงแห่งนี้ด้วยนะครับ
ถ้ามีโอกาสลองแวบมาเกาะ Oki ดูนะครับ การเดินทางจะยากสักหน่อย แต่รับรองว่าประทับใจแน่นอน
ปิดท้ายด้วยรูปปั้นของตัวการ์ตูนเรื่อง GeGeGe Kitaro ที่เป็นกิมมิคเห็นได้ทั่วทั้งเกาะ Oki แต่เสียดายที่ผมไม่ทันเรื่องนี้ (ถ้าข้อมูลผิดพลาดขออภัยด้วยนะครับ)