ความเดิมต่อจาก Patagonia ep.1 ตอนที่แล้วนะครับ ทิ้งไว้เกือบครึ่งปี เพิ่มเริ่มได้เขียนต่อ 😛
ในตอนนี้ผมจะกล่าวถึง Patagonia ในฝรั่งอาร์เจนตินาครับ ส่วนฝั่งชิลีจะกล่าวในตอนที่ 3 (ซึ่งผมจะพยายามปั่นให้เร็วที่สุดครับ)
ในฝั่งอาร์เจนตินานั้นจะมีเมือง El Calafate และ El Chalten เป็นหลักครับ
El Calafate เป็นเหมือนศูนย์กลางการเดินทางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เกต ท่ารถ บริษัทรถเช่า และรวมไปถึงทัวร์ระยะสั้นแบบ one-day trip ไปยัง Glacier รอบๆเช่น Perito Moreno Glacier
El Chalten จะเป็นอีกแนวนึง ที่นี่เป็นเหมือนศูนย์กลางของ hiking มี trail หลักๆอยู่สอง trail ที่นักท่องเที่ยวชอบมาเดิน ในที่นี้ผมจะขอกล่าวถึง El Chalten เป็นอันดับแรกก่อน เพราะเป้าหมายหลักที่ผมมาที่ Patagonia ฝั่ง Argentina ก็เพื่อมาชมยอดเขา Fitz Roy และ Cerro Torre ซึ่งจะมองเห็นได้จากเมืองนี้ครับ
Mt. Fitz Roy เป็นภูเขาแหลมๆ ชันตั้งตระง่าน ลูกตรงกลางคือ Fitz Roy ส่วนยอดขนาบด้านข้างคือ Poincenot (ซ้าย) และ Guilaumet (ขวา) เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน มองกี่ทีก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของภูเขาลูกนี้ครับ จุดถ่ายภาพภูเขาลูกนี้จะอยู่ที่ด้านนอกเมือง El Chalten, Laguna Capri, Laguna Sucia, Camp Poincenot และ Laguna de Los Tres
Cerro Torre จะเป็นยอดเขาที่อยู่ด้านหลัง Mt. Fitz Roy ไปอีกที สามารถมองเห็นได้จาก Laguna Torre หรือด้านนอกเมือง El Chalten
สำหรับการเดินทางนั้น นักเดินทางส่วนมากจะเลือกนั่งรถบัสจาก El Calafate – El Chalten เพราะเมื่อถึงที่ El Chalten แล้วแทบจะไม่ต้องใช้รถเลย การเดินทางไปชมวิวนั้นใช้สองเท้าล้วนๆ หากสนใจข้อมูลรถบัส สามารถดูได้จากเวบของ TAQSA (เวบปิดปรับปรุงอยู่) หรือ ChaltenTreavel ครับ ส่วนพวกผมเลือกที่จะเช่ารถ เพราะสามารถจอดแวะถ่ายรูป และขับหามุมถ่ายรูปได้ดั่งใจ (แต่ก็ยอมจ่ายค่าเช่ารถฟรีๆไปสองวันเต็มๆเพราะ hiking กันตลอด) กลุ่มผมมีทั้งหมด 7 คน ส่วนใหญ่รถเช่าที่นี่จะเป็นรถขนาดเล็กเกือบทั้งหมด และเป็นเกียร์กระปุกทั้งหมดครับ ผมหาตัวเลือกเกียร์ออโต้ไม่เจอเลย สำหรับกลุ่มผมแล้ว ตัวเลือกรถเช่ามีเพียงอย่างเดียวคือ Minibus 7 ที่นั่ง ได้รถ Hyundai H-1 ใช้น้ำมันดีเซล
list ของบริษัทรถเช่าทั้งหมด สามารถดูได้จากเวบนี้ครับ
พี่แหวน พี่ในกลุ่มผมได้เป็นคนติดต่อรถเช่าจากบริษัท Nunatak ก็อาศัยการอีเมลล์จองครับ ไม่มีระบบ online reservation แต่อย่างใด ได้เรทวันละ 950 ARS เขาให้ cash discount สำหรับ 8 วัน ราคารวม 6500 ARS ในราคานี้ให้ 1600km (200km/day) และมีค่าเอกสารข้ามไปชิลีอีก 450 ARS ซึ่งก็ถือว่าแพงอยู่พอสมควรครับ คิดเบ็ดเสร็จเป็น USD แล้วตก 1165 USD ซึ่งก็ถือว่าแพงอยู่พอสมควรครับ แต่แลกกับความสะดวก
ในวันแรกที่ผมมาถึงสนามบิน El Calafate นั้น จะต้องนั่ง Taxi เข้าเมืองครับ คันละ 150 peso จะนั่งรถบัสก็ได้ครับ แต่กลุ่มผมมีคนเยอะ และของเยอะ นั่ง Taxi สะดวกกว่า คืนแรกพักโรงแรม Myhotel Calafate เป็น hostel ดูใหม่และสะอาดใช้ได้ ห้องมีกลิ่นอับเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้และเป็นกันเองมากๆ แต่ราคาไม่แพงเกินไป และอยู่ใกล้ถนนหลักของเมืองอย่าง San Martin หลังจากเชคอินเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ไปแวะซื้อของกัน พวกของสดมีขายที่ La Anonima ส่วนแก๊สกระป๋องสำหรับ camping สามารถเดินหาได้จากร้านค้า outdoor gear ริมถนน San Martin เลยครับ ถ้าจำไม่ผิด propane gas canister อันเล็กจะราคา 40 ARS และอันใหญ่ 80 ARS
บอกตามตรงว่าผมเองนั้นไม่มีดวงเรื่องอากาศที่ El Chalten เอาเสียเลยครับ ตอนไป Laguna Torre ก็ไม่เห็นยอด Cerro Torre พอเดินไป Poincenot ตอนเย็นพอเห็น Fitz Roy บ้าง แต่ตอนเช้าก็อากาศปิด ตกบ่ายก็เจอพายุลมแรงมากๆ เรียกได้ว่าทุลักทุเลสุดๆครับ
ว่ากันเรื่องเส้นทาง จาก El Chalten นั้นมี trail หลักๆอยู่สอง trail นั่นคือ trial ที่เดินไป Laguna Torre และอีก trial นึงไป Laguna de Los Tres และสอง trail นี้จะเชื่อมด้วยเส้นทางตัด ทำให้สามารถเดินเป็นวงกลมได้ครับ (จริงๆคือสามเหลี่ยม) พวกผมเดินทั้งหมดสามวันสองคืน เริ่มเดินจาก El Chalten ไปยัง Laguna Torre ก่อน โดยพักค้างคืนที่ Camp de Agostini (ระยะทาง 10km) ในช่วงสายของวันถัดมาก็เดินเข้าเส้น shortcut ผ่าน Laguna Madre and Hija ไปนอนที่ Camp Poincenot (ในแผนที่ไม่ได้ระบุระยะทางไว้ คิดว่าระยะทางวันนี้ประมาณ 13km) และในวันสุดท้ายก็เดินจาก Poincenot ขึ้นไป Laguna de Los Tres 3 km หลังจากเดินกลับมาที่ camp แล้วก็เดินกลับ El Chalten อีก 9.5km ทำให้ระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 38.5 km ครับ
พวกผมออกจาก El Calafate เกือบๆแปดโมงเช้า กว่าจะมาถึง El Chalten หาเตนท์เช่าเพิ่มอีกหนึ่ง (เตรียมมาสองหลัง) หาข้าวเที่ยงทาน กว่าจะได้เริ่มเดินก็ปาเข้าไปหลังเที่ยงครับ สภาพแรกก่อนเดินยัง fresh อยู่มาก 555 จุดเริ่มเดินไปที่ Laguna Torre จะอยู่ทางตะวันตกของเมืองครับ ส่วนถ้าไป Laguna de Los Tres จะอยู่ทางเหนือครับ อย่าไปผิดทางนะครับ เพราะถ้าหลงไปแล้ว มันอ้อมไกลแน่ๆ ดูแผนที่ด้านบนประกอบครับ หรือจะเปิดจากเวบนี้ก็ได้ครับ
พอได้เริ่มเดิน ก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนัก 20-25kg บนหลังเลยครับ ช่วงแรกต้องขึ้นเนินด้วย ปราบเซียนไปหลายแฮ่กกกกก ขึ้นภูกระดึงมีลูกหาบให้ แต่แบบนี้ก็ใช้พลังกายกันเองครับ
มาถึงจุดชมวิวจุดแรก ซึ่งควรจะมองเห็นยอด Cerro Torre แต่ถ้าอากาศไม่ดีก็จะเห็นอย่างที่ผมเห็นในรูปนี่แหละครับ เศร้าเลย เห็นแต่ฐานของธารน้ำแข็งนิดหน่อย
แต่ผมใกล้หมดสภาพแล้วครับ 555
เดินไปจนใกล้มืด เราก็มาถึงแคมป์ครับ ไม่ได้ถ่ายแสงเย็นอยู่แล้วเนื่องจากฟ้าเน่ามาก รีบทำอาหารกันก่อนเลย เมนูวันนี้ แกงเขียวหวาน และยำวุ้นเส้นครับ ขนมาไกลถึงกลางป่าอาร์เจนตินากันเลยทีเดียวเชียว จะสังเกตว่าขาตั้งกล้องมีประโยชน์มากครับ เอาไว้ตั้งไฟฉาย 555
Campsite ชื่อ de Agostini ครับ ทำไว้ดีทีเดียว ที่สำคัญ ฟรีครับ!!!
เช้าวันที่สอง เราก็ตั้งเป้าว่าจะไปถ่ายแสงเช้ากัน แต่ แต่ แต่…. ฝนตกครับ ตกปรอยๆกันตั้งแต่กลางคืนแล้ว และตอนเช้ามันก็ยังไม่ยอมหยุดเสียที จาก camp เดินไป Laguna Torre ไม่ไกลมาก ประมาณ 1km เดินด้วยตัวเปล่า ไม่ถึง 15 นาทีก็มาถึงทะเลสาบครับ ลมแรงมากทีเดียว โชคดีที่ตรงนั้นมีคนกองหินไว้เป็นที่หลบลม
และก็เป็นโชคดีของพวกผมมากๆ ที่ปลายขอบฟ้าเปิดเล็กน้อย พอมีแสงบ้าง แต่เมฆก็ยังไม่ไปไหนครับ
นาทีนี้ต้องดูลีลาการล่าฉากหน้าของโปรซิดนีย์นะครับ เกาะก้อนหินได้เสียวมาก
ถึงแม้ว่าตอนสายๆ อากาศจะเริ่มดีขึ้นมาก แต่เราก็ยังไม่มีดวงดีพอที่จะเห็นยอดของ Cerro Torre เลยครับ
เราโอ้เอ้กันจนสาย เกือบๆสิบโมง ก็ต้องได้เวลาอำลา Cerro Torre ที่ยังไม่เห็นแม้แต่ยอด เพื่อเดินไปต่อ เพราะวันนี้ต้องเดินอีก 13km ถือว่าเป็นวันที่เดินเยอะที่สุดเลยครับ เพราะต้องเดินย้อนกลับไปทาง El Chalten นิดนึง ก่อนที่จะแยกซ้ายออกเข้า shortcut เพื่อไป Poincenot ครับ แต่เส้นนี้ก็ไม่ได้เดินราบๆ เพราะต้องขึ้นสันเขา 1 ลูกเต็มๆ
สภาพเมื่อเดินขึ้นเขา 1 ลูกครับ คนเสื้อเหลืองขอพักนานๆ 55
และแล้วเราก็มาถึง Lake ที่อยู่ระหว่างทาง มาถึงตรงนี้แล้วท้องฟ้าเป็นใจมากๆครับ เสียดายตอนเช้าไม่ดีอย่างนี้
ระหว่างเดินเลาะ Lake ก็มีจุดให้แวะพักชมวิวไปเรื่อยๆ
เมื่อใกล้ถึง Poincenot เราก็ได้เห็นพระเอกที่รอคอยมานานแสนนาน ดั้นด้นมาไกลมากเพื่อที่จะได้ยลโฉมภูเขาลูกนี้
“Mount Fitz Roy”
มื้อเย็น สำหรับวันที่เหนื่อยล้า คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเหนือไปจาก “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” นั่นเองครับ หมดแรง แม้กระทั่งจะทำอาหารครับ ฮาาา
และเราก็ถือโอกาสออกไปถ่ายดาวเล่นๆในคืนนั้น เพราะนี่เป็นคืนแรกที่ได้เห็น Fitz Roy เลยประทับใจมากๆ และฟ้าก็เคลียร์เอามากๆด้วย แต่อยู่ไม่ได้นาน เพราะว่าอากาศหนาว และพรุ่งนี้ต้องออกตั้งแต่ตีห้า เพื่อเดินขึ้นไปบน Laguna de Los Tres ระยะทาง 3km ชมวิว Mt Fitz Roy อย่างใกล้ชิด แต่ทางจะชันมากๆ
เช้าวันที่สามแล้ว แรงเหลือน้อยกว่า 1/3 แน่นอน คืนนั้นลมแรงพอสมควร แต่ว่าเราก็ไม่ท้อครับ เหลืออีกแค่อึดใจเดียวจะได้ไปชม Fitz Roy บนจุดที่ใกล้ที่สุด และถ้าแสงยามเช้ามันกระทบยอดเขา มันคงสวยมาก จินตนาการไว้สวยหรู แต่หนทางชันๆยังอีกยาวไกล แม่น้ำที่เห็นข้างล่างคือบริเวณที่ตั้งแคมป์ครับ นี่เราขึ้นมาสูงมากๆ และจุดที่ถ่ายภาพนี้ ยังเดินไปไม่ถึง 2/3 เลยด้วยซ้ำ
พอใกล้ถึง Laguna de Los Tres แล้วถึงต้องกับอุทานว่า…..
Fitz Roy ตรูอยู่หนายยยยย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ อากาศที่ patagonia มันแปรปรวนได้สุดติ่งมาก เมื่อวานตอนเช้าฝนตก บ่ายแดดออก เย็นอากาศใส ตกดึกเห็นดาว เช้ามากลับครึ้มเสียอย่างนั้น
ลักษณะก็เหมือนกับเมื่อวานเลยครับ ตอนเช้าๆ ฝนตกปรอยๆ สายๆแดดออก (แต่แสงมันแข็งไปแล้ว) และก็ยังไม่เห็นยอดเขา Fit Roy เหมือน step เดิมที่ไม่เห็นยอด Cerro Torre ยังไงยังงั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกสนานในการถ่ายภาพหมู่ลดน้อยลงไปเลยครับ ถ้าเดินจาก Laguna de Los Tres มาทางซ้ายๆหน่อย จะมีเนินลูกใหญ่ และถ้ามาอยู่บนเนินนั้น จะเห็นทะเลสาบสองอันอยู่ติดกัน ด้านซ้ายคือ Laguna Sucia ที่อยู่ต่ำลงไปประมาณสองร้อยเมตร ส่วนด้านขวาคือ Laguna de Los Tres
เราอยู่บนนั้นจนเกือบๆ 11 โมง ถ่ายรูปกันจนจุใจ (และเจ็บแค้นด้วย) พอเดินลง ก็เริ่มเห็นคนมากมายที่เพิ่งเริ่มเดินขึ้นมา คนเหล่านี้เดินออกมาจาก El Chalten ตั้งแต่เช้า เดินมา 12.5km แต่เนื่องจากไม่ต้องแบกเป้หนักๆ ทำให้เดินเร็วกว่ามาก ตอนพวกผมลง ก็ได้เดินสวนกับคนไทยกลุ่มนึงด้วย ฟิตมากๆ ไม่นึกว่าจะเจอคนไทยมาถอดสังขารเดิน trail หนักๆอย่างนี้
และหลังจากภาพนี้ ฝนก็ตกหนักมากครับ ประกอบกับลมแรง ที่พัดให้ฝนตกจนเป็นแนวนอนเลยทีเดียว 55555 คิดว่าลมน่าจะแรงไม่ต่ำกว่า 60km/hr แน่นอน พวกผมได้รู้กิตติศัพท์ของลมพาตาโกเนียก็วันนี้แหละครับ
หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลย เพราะฝนตกหนักมาก และลมแรงมาก และสุดท้ายเราก็ลงมาถึง El Chalten กันจนได้ ออกเดินจาก Poincenot ตอนบ่าย มาถึง El Chalten ตอนเย็นพอดี
คืนนี้ก็ซดเครื่องดื่ม อาบน้ำครั้งแรกในรอบสามวัน และนอนหลับกันเป็นตายครับ
(เด็กๆไม่ควรดื่มเบียร์นะครับ แม้ว่าเบียร์อาร์เจนตินาจะรสชาติดีก็ตาม)
ในเช้าวันสุดท้ายที่ El Chalten ซึ่งเราแพลนกันว่าจะขับรถกลับ El Calafate ในวันนี้ เราก็หวังว่าตอนเช้านี้จะได้เห็น Mt Fitz Roy กันบ้าง เราออกมาล่าแสงเช้ากันนอกเมือง และฟ้าก็ระเบิดอย่างสวยงาม (คนละด้านกับ Mt Fit Roy)
ส่วน Fit Roy น่ะเหรอครับ ขี้อายเหมือนเดิมมมมมม
สรุปว่าตลอดสี่วันที่นี่ ผมเห็น Mt Fit Roy แค่ช่วงเย็น ส่วนแสงเช้าที่มันจะกระทบยอดพอดี ไม่เห็นเลยสักวันครับ คงต้องมาแก้มือใหม่ และเผื่อเวลาไว้มากๆ เพราะอากาศที่พาตาโกเนียมันเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าคำพูดนักการเมืองเสียอีกครับ ฮาๆๆ
และตาม step เดิมครับ กลางวันฟ้าใสกิ๊กกกกก
และนี่คือโรงแรมที่เราพักกันใน El Chalten ครับ เจ้าของพูดอังกฤษไม่ได้ สื่อสารกันด้วยมือ เค้ารับซักผ้าให้ด้วย ทำดีมากๆ ที่นี่รับเงินสดอย่างเดียว ถามไปถามมา จ่ายเป็น US dollar ได้ด้วย และให้เรท 6 peso ต่อ USD ซึ่งเรทดีมากๆๆ ที่นี่เรทตลาดมืดดีกว่าเรทตามสนามบินมากครับ บางครั้งสนามบินอาจจะแลกได้แค่ 3.5 peso per USD ซึ่งแลกกับร้านค้า บางทีอาจจะได้เรทดีกว่าถึงสองเท่าครับ ฉะนั้นถือเงินดอลลาร์สหรัฐมา ได้ประโยชน์กว่าแน่นอน เพราะยังไงก็หาแลกเงินเปโซที่ไทยไม่ได้อยู่แล้ว
เราเดินเล่นถ่ายรูปกันเพลินมาก จนเกือบๆเที่ยง ถึงจะได้เวลาล้อหมุนออกจาก El Chalten อ้อ ลืมบอกไป ที่นี่มีปั้มน้ำมันนะครับ สามารถเติมให้เต็มถึงก่อนกลับ El Calafate ได้ แต่ถ้าใครมารถบัส ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ และรถบัสก็มีวิ่งทุกวัน วันละสองรอบ เช้า และเย็น และในหน้าร้อนซึ่งเป็น high season ก็จะมีรอบเที่ยงอีกหนึ่งรอบด้วยครับ
แพลนของวันนี้ค่อนข้างหลวมมาก เรากลับถึง El Calafate ราวๆบ่ายสาม เข้าที่พัก และออกไปหาซื้อเสบียงกันในทันที เพราะว่าวันถัดไปเราจะเข้าชิลีกันแล้ว ออกกันตั้งแต่เช้า เพื่อไป Torres del Paine National Park นอกเหนือจากเสบียง เราก็หาซื้อแก๊สกระป๋อง และพยายามหาเช่าเตนท์ แต่โชคร้ายที่หาเช่าราคาถูกๆไม่ได้เลยครับ ร้านส่วนใหญ่มีเตนท์ขาย และถ้าเช่า เราต้องเช่ากันหลายวัน ซึ่งผมแพลนว่าจะนอนเตนท์ที่ Torres del Paine แค่คืนเดียว ซึ่งถ้าจะเช่า ต้องเช่าถึง 4 วัน ซึ่งไม่คุ้มเลย
หลังจาก shopping กันอย่างรวดเร็ว เรายังพอมีเวลาเหลือ ก็เลยใช้โอกาสนี้ไปถ่ายแสงเย็นกันที่ Perito Moreno Glacier ครับ มันเป็น Glacier ที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตนี้ มันกว้างสุดลูกหูลูกตาจริงๆ ขนาดมีเลนส์ 16mm ยังเก็บได้เกือบขอบชนขอบพอดี ซิ่งจาก El Calafate มาทันแสงเย็นพอดี ถ่ายไม่นานก็มืดแล้วครับ
จะสังเกตได้ว่าที่นี่ทำ boardwalk ไว้อย่างดีเลยครับ เดินสะดวกมากๆ แต่ว่าตั้งขาลำบากมาก เพราะว่าตัวทางเดินเป็นตะแกรงซี่ๆ ขาตั้งมันชอบติดตามซอก
และผมขอปิดเรื่องราวสุดประทับใจจาก Argentinian Patagonia ไว้ด้วย Perito Moreno Glacier ครับ นอกจาก boardwalk แล้ว ยังมีทัวร์ล่องเรือไปชม Glacier จากมุมต่ำ และก็ยังมีทัวร์ไป hike บน Glacier ด้วย แต่ทั้งสองอย่างก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแตกต่างกันไปครับ Glacier hike อาจจะแพงสักหน่อย ก็ถือว่า กิจกรรมมีหลากหลาย เหมาะสำหรับคนทุกวัยครับ ใครไม่สะดวกเดิน ก็นั่งเรือชมวิวได้
ถ้ามีโอกาสอีก ผมจะขอกลับมาถ่ายที่นี่นานกว่านี้หน่อย รับรองว่าใครได้มา ต้องชอบแน่ๆครับ
ติดตามอ่านตอนสุดท้ายจากชิลี เร็วๆนี้ครับ 😀
ปล. ขอบคุณภาพจากเพื่อนร่วมทริปทุกคนครับ