เดินทางมาปีกว่าๆแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาปิด blog เสียทีครับ ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่ผมว่าจะเขียนเล่าถึงการเดินทางท่องเที่ยวใน Patagonia ฝั่งชิลีครับ
มาเท้าความเดิมในตอนแรก ว่าด้วยเรื่องของการเตรียมตัว และตอนที่สองซึ่งเป็นเรื่องราวในอาร์เจนตินาครับ
Cuernos del Paine ภูเขาชื่อดังของที่นี่ครับ
Patagonia ฝั่งชิลีนั้น ถ้าเอาจริงๆมันกว้างมาก ไล่ตั้งแต่ตอนกลางประเทศ เรื่อยไปจนถึงใต้สุด แต่ในทริปนี้ผมจะเจาะส่วน Southern Patagonai เฉพาะอุทยาน Torres del Paine เท่านั้นครับ (ผมขอเรียกย่อๆว่า TDP แล้วกัน) เอาจริงๆผมได้เห็นรูปของภูเขา Cuernos del Paine เป็นครั้งแรกก็ที่ Wikipedia เป็นภาพภูเขารูปทรงแปลกตา มีทุ่งหญ้าสีทอง และทะเลสาบสีฟ้าสดสวย ตอนแรกก็หาข้อมูล พบว่ามันอยู่ไกลมากๆ การเดินทางดูลำบาก แต่ผมก็เห็นเพื่อนฝรั่งที่เคยทำ research lab ด้วยกัน เขาไปเที่ยว Torres del Paine กับแฟน ผมจึงเริ่มรู้สึกว่า มันไม่ได้ยากเกินไปที่จะไปด้วยตัวเอง และผมก็ไม่นึกไม่ฝันจริงๆว่าจะพาตัวเองเดินทางมาถึงตรงนีได้
ว่ากันด้วยเรื่องของการเดินทาง หากจะมา Torres del Paine นั้นมีสองวิธีครับ อย่างแรกคือมาจากทางชิลีเอง ไม่ต้องข้ามพรมแดน นั่นคือจาก Santiago (รหัสสนามบิน SCL) บินมาที่ Punta Arenas (PUQ) แต่อาจจะต้องแวะต่อเครื่องที่ Puerto Montt (PMC) ซึ่งตรงนี้ก็มีอุทยานที่สวย แวะไปชม Petrohué ได้ จาก Punta Arenas ก็ต้องนั่งรถต่อมาที่ Puerto Natales ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดก่อนที่จะถึง TDP ซึ่งเสบียงกรังทั้งหมด รวมไปถึงทัวร์ต่างๆ ทั้ง one-day, two-day สามารถหาซื้อได้ที่เมืองนี้ครับ จาก Puerto Natales เข้าไปจนถึงอุทยาน มีถนนลาดยางนิดหน่อย แต่พอเข้าอุทยานจะเริ่มเป็นถนนลูกรังทั้งหมดครับ ทำความเร็วได้ไม่มากนัก
หากมาจากฝั่งอาร์เจนตินา สามารถมาได้หลายแบบ อย่างแรกคือซื้อทัวร์ อย่างเช่นแบบ one day ก็จะออกตั้งแต่ตีห้า มาถึงชิลีราวๆสาย และกลับตอนเย็นครับ หรือจะเลือกนั่งรถบัสมาลง Puerto Natales ได้เช่นกัน มีรถบัสวันละเที่ยวหรือสองเที่ยว ดูตารางได้ที่ Turismo Zaahj ครับ ส่วนผมเลือกอย่างสุดท้าย นั่นคือเช่ารถเอง ถ้าเราแจ้งบริษัทรถเช่าว่าต้องการข้ามไปเที่ยวฝั่งชิลีด้วย เขาก็จะเตรียมเอกสารไว้ให้ มีค่าธรรมเนียมเล็กน้อยครับ ถ้ามาจาก El Calafate สามารถข้ามพรมแดนได้ที่ Cancha Carreras หรือ Rio Turbio (เมืองติดกับ Natales) แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากจะเลือกข้ามที่ Cancha Carreras ซึ่งจะอ้อมน้อยกว่า
ความยากของการขับรถเที่ยวเองนั้นอยู่ที่การกะปริมาณน้ำมันครับ ใน Torres del Paine นั้นไม่มีปั้มน้ำมันเลย ปั้มที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ Puerto Natales จริงๆแล้วมีปั้มเล็กๆของชาวบ้าน แต่ราคาแพงมาก อยู่ทางด้านตะวันออกของอุทยาน ได้ข่าวมาว่าเจ้าของไม่ค่อยต้อนรับด้วยครับ ถ้ามาจาก El Calafate รถส่วนมาก (รวมไปถึงรถทัวร์) จะใช้เส้นทางผ่านเมือง Esperanza (ผ่านทางหลวงหมายเลข 5 และ 7) เพราะถนนดีกว่าเส้น 40 ซึ่งยังเป็นลูกรังอยู่ แม้จะทางลัดกว่ามาก และข้อดีคือที่ Esperanza นั้นมีปั้มน้ำมันใหญ่ครับ ใหญ่ที่สุดในเส้นทางแถบนี้แล้ว จาก Esperanza เลยไปอีกก็จะมีปั้มน้ำมันอยู่ที่ Tapi Aike แต่เป็นปั้มเล็กๆ และเปิดช้า ปิดเร็วด้วยครับ ถ้าจะมาเติมน้ำมันที่นี่ต้องกะเวลาให้ดีๆครับ ไม่เหมือนกับที่ Esperanza ที่ปั้มเปิดตลอด 24 ชั่วโมง พอเราข้ามแดนที่ Cancha Carreras แล้ว เส้นทางไป TDP ก็จะเริ่มเป็นทางลูกรัง ขับขึ้นเหนือไปเรื่อยๆครับ หากมาจาก Natales ก็จะใช้ถนนเส้นเดียวกัน
กลุ่มผมมากัน 7 คน เลยเลือกเช่ารถคันใหญ่คันเดียว แต่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ดีนัก เพราะรถคันใหญ่ ใช้น้ำมันดีเซล กินน้ำมันด้วยครับ ต้องกะระยะทางที่จะขับ และวางแผนการเติมน้ำมันอย่างดีเลย หากเลือกที่จะเช่ารถ ผมแนะนำว่าเช่าคันเล็กๆจะดีกว่าครับ ประหยัดน้ำมันด้วย
ที่ Cancha Carreras เราต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองสองแห่ง คือฝั่งอาร์เจนตินา และฝั่งชิลีครับ ฝั่งชิลีนั้นดูใหม่และทันสมัยกว่ามาก และทั้งสองฝั่ง เราแค่ยื่นพาสปอร์ตเท่านั้นเอง คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า สามารถข้ามไปข้ามมาได้โดยสะดวกโยธิน สำหรับฝั่งชิลี นอกเหนือจากเรื่องเอกสารแล้ว เรายังต้องขนกระเป๋าทุกใบออกมาทำการสแกน เพราะชิลีห้ามนำของสดเข้าประเทศครับ พนักงานกับเครื่องสแกนเทพมากครับ สามารถสแกนเห็นเนื้อแดดเดียว (Beef Jerky) ที่ผมเอามาซะด้วย และสุดท้ายผมก็ต้องกินมันตรงนั้นครับ แม้ว่ามันจะเป็นเนื้อที่ผ่านการปรุงมาแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ให้ผ่านครับ โชคดีที่ผมลืมไปว่าวางไข่ไว้ใต้เบาะ ไข่ก็เลยรอดมาได้ 5555 ส่วนของที่เหลือ ผมไมไ่ด้เตรียมอะไรมามากครับ ไม่ได้ซื้อผัก ผลไม้อะไรมาเลย สำหรับมาม่า โจ๊ก อาหารกระป๋อง สามารถผ่านได้สบายๆครับ
พอขับรถเข้ามาแล้ว เราก็มาถึงที่ทำการอุทยาน อยู่ที่ Laguna Amarga และตรงนี้เราก็ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานกันหลายหมื่นเลยทีเดียว จ่ายเป็น chilean peso นะครับ
เราแพลนกันว่าวันนี้จะเดินเข้าไปนอนที่ Campamento Torres ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณ 4-6 ชั่วโมง เริ่มเดินจาก Hosteria Las Torres กว่าผมจะออกจาก El Calafate ก็ปาเข้าไปเกือบๆเก้าโมงแล้วครับ เพราะผมคาดว่าน้ำมันอาจจะใช้แบบหมดพอดีๆ เลยอยากซื้อถังน้ำมันสำรองไว้อีกสักหน่อย ต้องรอจนกว่าร้านจะเปิด แถมปั้มน้ำมันก็คิวยาวเสียเหลือเกิน ไม่รู้คนจะเดินทางกันไปไหน เลยเสียเวลาไปสักนิดครับ กว่าจะมาถึง Hosteria Las Torres ก็เกือบบ่ายสาม เส้นทางมาโรงแรมนี้ไม่ยากครับ มาจาก Laguna Amarga เป็นถนนลูกรัง หากไม่มีรถ ก็สามารถติดต่อโรงแรมให้มารับได้ คิดคนละ $15 ถ้าผมจำไม่ผิด ระยะทางไม่ไกลครับ ประมาณ 6km ช่วงแรกจะมีสะพานแคบๆ แต่ถ้าใช้ความเร็วไม่มากก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ พอแจ้งทางโรงแรมว่าขอจอดรถไว้คืนนึง ทางโรงแรมก็ไม่มีปัญหาครับ แพคของ แล้วเริ่มเดินกัน
เส้นทางที่พวกผมเดินนั้น เป็นแค่เสี้ยวเดียวของ W trek อันโด่งดัง ระยะทาง 10km ไปกลับ 20km เพราะผมดูภาพที่คนอื่นถ่ายมาแล้วฟังธงว่า ตรงนี้สวยสุด และพลาดไม่ได้ ส่วนบริเวณอื่นนั้นถ่ายจากไกลๆสวยกว่า ไม่ต้องเดินก็ได้ แต่ถ้าใครชอบ trekking ผมก็ยังแนะนำอยู่นะครับ W-trek นั้นวิวสวยตลอดทางจริงๆ (ถ้าอากาศไม่เน่านะ)
สำหรับเส้นทางเดินไป Campamento Torres หรือ Camp Torres นั้นไม่ยากมากครับ หากไม่มีเป้บนหลัง 5555 แม้ว่าหนนี้เราจะไปนอนแค่คืนเดียว อาหารและเสื้อผ้าเบาลงครึ่งนึง แต่น้ำหนักบนหลังก็ไม่ได้ลดลงเลย เพราะเตนท์และอุปกรณ์กล้อง ขาตั้งกล้อง ยังหนักเท่าเดิมครับ 555 สำหรับเส้นทางช่วงแรกนั้นจะชันหน่อย และเราก็เดินสวนทางกับม้าเป็นระยะๆ (คาดว่าม้าพวกนี้เป็น service ไปถึง Refugio Chileano) พอถึง Refugio Chileano ทางจะเริ่มราบขึ้น แต่ก็ไกลอีกพอสมควร ระยะทางเหลืออีกครึ่งทาง ตอนนั้นเริ่มมืดแล้ว และฝนตกด้วยครับ เราเลยไม่ค่อยมีเวลาพักเหนื่อยกันสักเท่าไหร่ ที่ Refugio Chileano นี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หากใครไม่ได้นำเตนท์มา ก็สามารถเช่าที่นี่ได้ครับ ตอนแรกผมก็กะว่าจะมาเช่าที่นี่เหมือนกัน เพราะผมมีเจ็ดคน แต่มีแค่สองเตนท์ แต่ปรากฏว่า Refugio มันปิดครับบบบบบบ ผมเพิ่งเชคก่อนออกมาจาก El Calafate ว่ามันเพิ่งปิดได้ไม่ถึงอาทิตย์ก่อนเรามาถึงเอง เฟลกันไปตามระเบียบ คืนนี้เตรียมนอนเตนท์กันแบบหายใจรดต้นคอคนข้างๆนะฮะ 5555
เราเดินถึง Campamento Torres เกือบๆสองทุ่ม ลานกางเตนท์ก็เต็มจนเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ไม่กี่ site ซึ่งเราก็ยัดสองเตนท์เข้าไปใน site เดียวกันแบบอบอุ่น หลังจากกางเตนท์กันเรียบร้อย ฝนก็ตกทันทีเลยครับ ก็เลยต้องประยุกต์เอาเตนท์สองหลังหันทางเข้าตรงกลาง โชคดีที่มีผ้าใบอยู่หนึ่งผืน เอาไว้คลุมกันฝน และเอากระเป๋าเป้และของอื่นๆมากองไว้ตรงกลางครับ หลังจากนั้นเราก็ทำกับข้าวกินกัน คราวนี้เน้นมาม่าแบบง่ายจริงๆครับ กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนกันกลางฝน ตอนนอนก็ได้ยินเสียงลมแรง พัดใบไม้ไหวอยู่ตลอดเวลา ลมแรงสมกับเป็นพาตาโกเนียจริงๆ ส่วนเตนท์ที่นอนนั้น มีหลังขนาดเล็ก นอนได้สองคน เราก็อัดเข้าไปสามครับ เตนท์หลังนี้มีผู้หญิงนอนสองคน และผู้ชายอีกคนก็นอนขวางเป็นตัว L เทพไหมครับ 5555 ส่วนอีกเตนท์นึงซึ่งใหญ่กว่า แต่ก็ใหญ่ไม่มากครับ ยังเป็นขนาดเล็กอยู่ นอนได้สองคน ซึ่งเราก็อัดเข้าไปสี่คนครับ!!!!! วิธีนอน ใช้การสลับฟันปลา ฉะนั้นขาของคนๆนึงก็จะไปอยู่ข้างๆหัวของอีกคน ยังดีที่มีถุงนอน ไม่อย่างนั้นก็คงต้องดมกลิ่นเท้ากันเป็นแน่แท้ ฮาๆๆ ซึ่งด้วยการอัดคนเข้าไปในเตนท์มากถึงขนาดนี้ เราไม่สามารถพลิกตัวกันได้เลยครับ พลิกปั้บ ตื่นทั้งเตนท์ 555 เรียกได้ว่านอนกันพอทนๆไป รอเวลาเช้า
สภาพเตนท์ครับ อันนี้ภาพจากตอนเช้า แต่ละ site จะมีเลขระบุ จริงๆ site นึงนอนได้เตนท์เดียว แต่เราก็ยัดไปสองจนได้ หาที่ราบตรงไหนก็นอนกันตรงนั้นครับ
หลังจากที่เราได้บทเรียนกับการเดินขึ้นไปที่ Laguna de los tres ว่าการเผื่อเวลาไว้ชั่วโมงครึ่งสำหรับการเดิน (จากที่ในเอกสาร tral บอกว่า 45 นาที) นั้นไม่เพียงพอเลย ในตอนเช้า เราแพลนกันว่าจะขึ้น Mirador Torres ซึ่งจะเป็นจุดชมวิวทะเลสาบที่จะเห็นยอด The Towers ได้ชัดเจน แม้ระยะทางจะสั้นกว่า แต่มันเป็นการเดินชันๆเหมือนกัน ฉะนั้นผมฟันธงกับเพื่อนๆร่วมทริปเลยว่า เผื่อเวลาไว้มากกว่าสองชั่วโมงแล้วกัน และเราก็ตื่นกันตั้งแต่ก่อนตีห้า เพื่อเริ่มออกเดิน เรียกได้ว่าเราเป็นคนกลุ่มแรกๆที่ออกจาก campsite แต่ก็มีคนที่ออกก่อนเรานะครับ ไม่เยอะมาก และพอเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็มีคนแซงเราไปเรื่อยๆ จากกลุ่มแรกๆ คนไทยเจ็ดคนก็ตกมากลุ่มกลางๆ และค่อนไปทางท้ายๆครับ 555555
พูดแล้วก็ไม่อยากเชื่อกับตาตัวเองเลยว่า ทั้งๆที่เมื่อคืนก่อนหน้านั้นมีทั้งฝนตก ตลอดทางในช่วงเย็นก็มีแต่เมฆครับ แถมลมแรง แรงจนต้นไม้สั่นไหวทั้งคืน แต่ตอนตีห้า ช่วงที่ผมเดินออกมาจาก Campsite ผมเริ่มเห็นดาวครับ และก็เห็นพระจันทร์ส่องสว่าง จนในบางช่วงที่เปิดโล่งมากๆ แทบไม่ต้องใช้ไฟฉายเลยก็ได้ เรียกได้ว่า ปาฏิหาริย์พาตาโกเนียเลยครับ จากอากาศแย่ๆ กลายมาเป็นฟ้าใสได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่มองอีกมุมนึง ลมที่นี่ก็แรงจริงๆนะครับ พัดเอาเมฆทั้งฟ้าหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงเลย
และไฮไลต์ของทริปนี้ก็กำลังรออยู่อีกไม่ไกลครับ
โชคดีมากที่เรายังทำเวลาได้ มาถึงทะเลสาบที่ Mirador Torres ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพอดิบพอดี มันเหนื่อยมากๆ เหนื่อยจนเสียคิดมุมไม่ออก ต้องเอามุมที่เคยเห็นช่างภาพฝรั่งถ่ายมา เป็นภาพคนยืนอยู่บนก้อนหินกลางน้ำ ซึ่งผมเห็นแล้วก็ไม่ขอใช้จินตนาการอะไรมาก ลอกเลยแล้วกัน 555 ต้องบอกว่ามุมที่ Mirador Torres มันสวยมากจริงๆ ยอดแหลมๆสามยอด สูงเสียดฟ้า ตั้งชันตระหง่าน จนทำให้ผมฉงนได้นานว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง คุ้มค่าเหนื่อยที่เดินกันมาตลอด 6 ชั่วโมงเมื่อวาน และอีก 2 ชั่วโมงเมื่อเช้านี้ครับ ต้องมาตอนเช้านะครับ มันจะฟินสุดๆจริงๆ
ฟินขนาดไหน ก็ตามภาพเลยครับ
สองช่างภาพมือเก๋าจากออสเตรเลียครับ
เราถ่ายกันจนสาย และก็ลงจากจุดชมวิวแทบจะเป็นกลุ่มสุดท้ายครับ ที่ต้องลงเพราะหิวข้าวกันแล้ว ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า กลับถึงก็แกะซองโจ๊กร้อนๆ อนุเคราะห์โดยพี่แหวน ช่วยขนมาจากเมืองไทยให้ทานกัน จากนั้นเราก็รีบเก็บเตนท์ เพราะเป้าหมายของวันนี้คือเราจะไปนอนโรงแรมที่วิวสวยที่สุดในอุทยานครับ นั่นคือ Hosteria Pehoe นั่นเอง เราก็ต้องรีบเก็บของแล้วเดินลงเขา เพื่อจะได้มีเวลาถ่ายภาพในอุทยานได้มากขึ้นอีกครับ
เราเดินกลับถึง Hosteria Las Torres กันแบบค่อนข้างล้า ถึงเกือบๆบ่ายสาม และก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ เราขับรถเลาะ Lago Nordenskjold เรื่อยมาจนถึง Lago Pehoe ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมครับ ระยะทางไม่ไกลมาก ประมาณ 30km แต่ขับได้ช้า ใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงได้ โรงแรมแห่งนี้เป็นเกาะกลางน้ำครับ มีสะพานเชื่อมจากฝั่ง ฉะนั้นรถก็ต้องจอดริมฝั่ง และขนสัมภาระข้ามไป เราจองห้องสามเตียงไว้สองห้อง มีเจ็ดคน อีกคนนึงก็แอบๆเอาครับ 5555 สำหรับการจอง สามารถจองได้ที่เวบ http://www.visitchile.com/en/torres-del-paine/hosteria-pehoe.htm ในปีที่ผมไป ผมหาเวบอื่นที่จองไม่เจอครับ และที่นี่ก็ให้เรทดีกว่าการมา walk-in ที่โรงแรมด้วยครับ และที่สำคัญ internet ฟรีครับ 🙂 อัพ facebook status กันสนุกเลย ไม่นึกว่าจะมีอินเตอร์เนตใช้กันกลางป่ากลางเขาแบบนี้ คาดว่าเขาคงใช้จานดาวเทียมครับ
วิวดีขนาดนี้เลยล่ะครับ
แสงเย็นของวันนี้เราไปถ่ายกันตรงเนินเขาใกล้ๆครับ ข้ามมาบนฝั่ง แล้วเดินขึ้นเนินครับ ถึงเลย สบายมากๆ การที่มี location ที่พักที่ดี ทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยที่จะเดินทางไปไกลเพื่อหามุมถ่ายรูปเลยครับ มุมมันอยู่เอาหน้าบ้านนี่เอง และท้องฟ้าในเย็นวันนี้ก็ระเบิดสีสดได้ใจมากๆเลยครับ เสียอย่างเดียวที่ตรงจุดนี้ลมแรงเอามากๆ ขนาดผมใช้ขาตั้งกล้องแล้ว ภาพผมยังเบลอไปเยอะเลย อาคารสีแดงที่เห็นอยู่ในเกาะกลางน้ำด้านล่างนี่แหละครับ hosteria pehoe นั่นเอง
ตอนช่วงเย็น เราขี้เกียจทำกับข้าวกันแล้ว ก็เลยไปอาศัยร้านอาหารที่อยู่ตรง campsite ชื่อ campamento lago pehoe (ก็ชื่อตาม lake นั่นแหละ 55) อยู่ทางด้านใต้ของอุทยาน จริงๆถ้าใครสนใจจะมานอนที่นี่ก็ได้นะครับ จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีก เราก็ฉลองความสำเร็จที่ได้ภาพแสงเช้าจาก Mirador Torres และแสงเย็นจากเนินเขาใกล้ๆโรงแรมกัน แต่ไม่มีแอลกอฮอล์นะครับ ที่นี่ขายแต่น้ำเปล่าและโค้ก ฮาๆๆๆ
วิวตอนเช้าหน้าโรงแรม Hosteria Pehoe นั้นสวยมากๆ เพราะแค่เดินไปด้านหลังอาคารหลักของโรงแรม เลาะเลียบหาดหินไปเรื่อยๆ ก็พอจะหามุมถ่ายรูปภูเขา Cuernos del Paine ได้ไม่ยากแล้วล่ะครับ
วิวงามมากๆ ถ่ายจากบนเกาะของโรงแรมเลยครับ ฟินกันทั้งเช้าเลย
และนี่คงเป็นมื้อเช้าที่หรูที่สุดในทริปแล้วครับ และวิวจากห้องอาหารก็สุดยอดมากๆ เราถ่ายรูปกันในบริเวณโรงแรมกันจนเพลินเลย แม้ท้องฟ้าในช่วงสายจะไม่เป็นใจเท่าไหร่
สำหรับโปรแกรมในวันที่สามใน Torres del Paine National park นั้นไม่มีอะไรมากครับ ขับรถเล่นอย่างเดียว (ตราบเท่าที่น้ำมันยังพอมี) ว่าจะขับรถรอบๆจนถึงบ่ายแก่ๆ แล้วค่อยขับรถกลับ El Calafate ในช่วงเย็นครับ เราเผื่อเวลาไว้พอดี ไม่ให้กลับดึกจนเกินไปจนด่านข้ามพรมแดนปิดเสียก่อนครับ ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกจะปิดทุ่มนึงนะครับ (เวลาอาร์เจนตินา)
สถานที่หลักๆในอุทยาน (ดูแผนที่ประกอบ) เราก็ขับลงใต้ไปสักหน่อย ไปแถวๆสะพานที่เก่า(ที่พังไปแล้วจากน้ำป่า) อยู่ตรงทางข้ามแม่น้ำ Rio Pehoe ก่อนถึง Lago Toro แถวนั้นมีทุ่งหญ้าสีทองครับ ถ่ายรูปกันสนุกมาก และใช้เวลานานมาก และเราก็ขับเรื่อยไปลงใต้ผ่าน CONAF หรือที่ทำการอุทยานลงไปอีก ซึ่งจะมีจุดชมวิวมุมสูงอยู่ครับ เห็นคุ้งน้ำ และภูเขาเป็นฉากหลัง จากนั้นก็ตีรถขึ้นมาทางเหนือ แวะ Salto Grunde ซึ่งก็เป็นน้ำตกที่เป็นที่ท่องเที่ยวหลักแถวๆ Lago Pehoe นั่นเอง จากนั้นก็ตีรถออกไปทางตะวันออก แวะถ่ายรูปที่ Laguna Amarga สักหน่อย ตรงนี้มีนกฟลามิงโก แต่เสียดายอากาศไม่ดี ท้องฟ้าปิด ซึ่งปกติจะเห็นยอด the towers ได้จากจุดนี้ และโชคไม่ดีซ้ำซองที่ลมแรงมาก ทำให้ไม่มี reflection อีกครับ ทริปนี้ผมไม่ได้วนไปทางตะวันตกเลยครับ เพราะทางตะวันตกจะมี Lago Grey ซึ่งมีให้ล่องเรือไปชม Glacier Grey ด้วย แต่ผมเห็นว่า คงใช้เวลานาน และไม่มีธารน้ำแข็งไหนจะเด็ดไปกว่า Perito Moreno ที่เราไปมาแล้ว ผมเลยตัด Lago Grey ทิ้งไปครับ แต่ถ้าใครมีเวลา ก็แนะนำให้มานะครับ จะได้ครบทั้งอุทยาน
ภาพพาโนรามาจากมุมสูง ฝีมือ Nae ครับ
หลังจาก Laguna Amarga พวกผมก็บึ่งรถออกจากอุทยาน และข้ามพรมแดนกันทันที เพราะกลัวไม่ทันด่านปิด ถ้าเกิดไม่ทันต้องวนอ้อมไปถึง Puerto Natales ซึ่งอาจจะเสียเวลาเพิ่มถึงชั่วโมงครึ่ง พอออกจากด่านพรมแดนฝั่งอาร์เจนตินา กำลังเลี้ยวเข้าถนน 40 (และเข้าถนน 7 ต่อ) น้ำมันเราก็เริ่มหมดครับ ผมก็เลยงัดน้ำมันถังสำรองออกมาใช้ ซึ่งก็เหลือเฟือที่จะทำให้เราไปถึง Esperanza ได้อย่างสบายๆ แต่ไม่ถึง El Calafate ซึ่งตอนนั้นก็มืดแล้วครับ
ได้ประสบการณ์เติมน้ำมันตอนมืดๆกันไปอีกแบบ 555 ยังไม่รู้ว่าความซวยกำลังจะเกิดขึ้นครับ
พอเรามาถึงปั้มที่ Esperanza เลี้ยวเข้าไปที่หัวจ่ายน้ำมันแล้ว มีพนักงานปั้มส่งเสียงล้งเล้งเป็นภาษาสเปน จับความได้ว่า น้ำมันหมดแล้ว พวกผมก็มองหน้ากัน อ่าว ชิบหายละ สถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาถึงแล้ว สงสัยพวกรถทัวร์ที่รับนักท่องเที่ยวไป TDP แบบเช้าไปเย็นกลับได้มาเติมน้ำมันจนเกลี้ยงปั้ม และเวลานี้พวกรถทัวร์ก็คงเติมน้ำมันและกลับ El Calafate กันหมดแล้ว ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอถึงพร่งนี้เช้า รอรถน้ำมันมาส่ง นี่ขนาดเตรียมการเผื่อด้วยการซื้อแกลลอนน้ำมันไว้แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าปั้มน้ำมันจะไม่มีน้ำมันให้เราเติมครับ จริงๆน้ำมันเบนซินมี แต่ดีเซลหมดครับ และพวกรถทัวร์ก็ใช้ดีเซลซะด้วยสิ นี่คงเป็นเหตุผล
ผมคงนอนบนรถกันไม่ได้ เพราะมันไม่มีที่ว่างพอ ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจไปนอนโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามปั้ม ซึ่งโรงแรมนั้นก็โขกสับราคาเอาตามระเบียบครับ นอนเจ็ดคน 1050 เปโซ (นี่ราคาครึ่งนึงของโรงแรมหรูที่ Hosteria Pehoe เลยนะครับ และแพงกว่าโรงแรมที่ El Calafate ถึงสองเท่าตัวอีก) และสภาพห้องนั้น อย่าได้บรรยายเลยทีเดียว ผมว่าโรงแรมเกรดห่วยสุดๆของเมืองไทยยังจะดีเสียกว่า ผ้าปูที่นอนเก่า ไม่รู้หมอนขึ้นรามั้ย ส้วมตัน ท่อน้ำก็เก็บไม่มิดชิด ความสะอาดนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ พวกผมไม่กล้าแม้แต่จะอาบน้ำ ที่ทำได้ก็พยายามขนของมีค่าบนรถมาไว้ในห้อง และล็อคประตูห้องนอน และเอากระเป๋าเดินทางใหญ่ๆหนักๆกั้นประตูไว้ กลัวที่พักที่นี่เป็นที่ซ่องสุมโจรจริงๆครับ เอาจริงๆตอนนั้นผมคิดไปด้วยซ้ำว่าคนที่ปั้มมันจะแอบสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของโรงแรมหรือเปล่า ถ้าทำแบบนั้นนี่รวยกันเละเลย
ฮีตเตอร์ในห้องมีสองระดับครับ แบบร้อนสุก กับแบบไม่ร้อนเลย ผมต้องเลือกปรับให้มันเปิด (ร้อนนั่นเอง) และเปิดหน้าต่างเอา ซึ่งก็นอนกันแบบทรมานมากครับ ทนจนถึงเช้า และในที่สุดก็ได้รับข่าวดีว่ามีน้ำมันให้เติมแล้ว ได้เวลาออกจากโรงแรมห่วยๆนี้ไปเสียที แต่ระยะทางจาก Esperanza ไป El Calafate นั้นเกิน 2 ชั่วโมงครับ พวกผมถึง El Calafate กันเกือบเที่ยง ซึ่งในวันนี้ผมแพลนว่าจะไปเที่ยวธารน้ำแข็ง Uppsala Glacier กัน ซึ่งก็ต้องล้มแผนไปโดยปริยาย ยังดีนะครับที่ไม่ได้จ่ายค่าทัวร์ไป ตอนจองมาจองแบบรีบๆ แจ้งไว้กับพนักงานบริษัทตอนเช้า ก่อนออกไป TDP นั่นเอง 555
หน้าตาโรงแรมครับ จำชื่อนี้ไว้ให้ดี และเลี่ยงเลยนะครับ ขอให้พวกผมเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ซวยเพราะน้ำมันหมด จนต้องมาพักที่นี่แล้วกัน ในตัวโรงแรมก็มีร้านอาหาร แต่ร้านอาหารไม่มีอะไรให้กินนอกจากขนมปัง (เนื่องจากพวกผมมาถึงดึกเกินไป)
เรากลับถึง El Calafate ก็พบกับข่าวร้ายที่ว่า โรงแรมที่จองไว้สองคืน ได้ทำการยกเลิกห้องเราไปแล้ว เพราะเป็น no-show policy แถมยังยึดเงิน deposit สำหรับคืนแรกไปด้วย (คืนแรกคือคืนที่ผมต้องไปนอนที่ Esperanza อย่างจำใจ) ทำให้ชวดเงินไปอีก 1000 peso เศร้าสุดๆ สุดท้ายก็เลยไปถามหาโรงแรมกันสดๆ ถามไปสองสามที่ ก็ไม่มีจำนวนห้องพอสำหรับเจ็ดคนครับ เรื่อยไปจนถึงอีกโรงแรมนึงที่เราเคยพัก ชื่อ Hostel Las Manos แต่มันจะอยู่ไกลจากถนนสายหลักของเมืองไปหน่อย ต้องขับรถเข้ามาครับ และก็โชคดีที่มีห้องว่างพอดี หลังจากได้ห้องแล้วเราก็ไปจัดหนักที่ร้าน Buffet อาหารจีนกัน ที่นี่มีแกะและเนื้อย่างให้กินอย่างเต็มเหนี่ยว ด้วยราคาเกือบๆร้อยครับ ถือว่าไม่แพงมาก พวกผมมากินเป็นครั้งที่สองแล้ว จนเจ้าของจำหน้ากันได้ คงเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนเอเชียหัวดำเข้ามาในร้านบ่อยๆนั่นเอง ในรอบสอง เจ้าของซึ่งก็เป็นคนจีนก็คุยกันอย่างถูกคอครับ (เสียดายไม่ลดให้นะ 555)
ในเมื่อตารางเที่ยววันนี้ก็พังทลาย ผมเลยคิดหาทัวร์ใหม่ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ตัวเลือกมีไม่มากนัก อย่างนึงที่น่าสนใจก็คือการขี่ม้าครับ ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมง ซึ่งเราก็มีเวลาว่างตอนบ่ายพอดี และยังได้ชมแสงเย็นริมทะเลสาบด้วย ฟังดูน่าสนใจมากทีเดียว ก็เลยจัดเสียเลย ค่าเสียหายคนละ 40 เปโซเองครับ ไม่แพงมาก (ถูกกว่ากินข้าวอีก) ผมได้เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวก็งานนี้แหละครับ 555 ขี่ม้านั้นไม่ยากเลย เพราะม้าพวกนี้ถูกฝึกมาอย่างดีแล้ว เดินตามเป็นขบวน และการบังคับม้านั้นก็ง่ายมากๆ ตัวบังเหียน ถ้าผ่อน ม้าจะวิ่งเร็ว ถ้าดึง ม้าจะหยุด ถ้าปัดไปทางซ้ายหรือขวา ม้าก็จะเลี้ยวตามนั้น จะว่าไปมันก็เหมือนขับรถเลยครับ สนุกมาก แม้ว่าจบทัวร์และก้นจะระบมไปหน่อย 55 และตอนจบทริป เจ้าของคอกม้าก็พาเยี่ยมชมบ้าน และให้ลองดื่ม mate ที่เป็นชารสเข้มจากอเมริกาใต้ด้วยครับ
ก็เป็นอันจบกิจกรรมของวันสุดท้ายใน El Calafate แล้วครับ ได้เวลาร่ำลาขุนเขาอันงดงามที่รายล้อมไปด้วยทะเลสาบเสียแล้ว แต่ แต่ มื้อเย็นเรายังเหลือครับ เราต้องจัดการกับเสบียงทั้งหมดที่เหลือมาจาก camp และทำเป็นมื้อเย็นครับ ฮ่าๆๆๆ เรียกได้ว่า มีเท่าไหร่ ทำให้หมด ทุบหม้อข้าวตีเมืองอย่างแท้จริง แต่ก็กินไม่หมดนะครับ แบ่งให้เจ้าของโรงแรมไปด้วย
และในวันสุดท้ายของการเดินทาง เราก็ต้องแยกกับเพื่อนสองคนที่มาจากออสเตรเลีย สองคนนี้ต้องอยู่ใน El Calafate อีกคืน เพราะไฟลท์กลับออสเตรเลียเป็นไฟลท์บินตรง Sydney – Buenos Aires ของ Aerolineas (คงจำได้นะครับว่าผมเล่าว่าสายการบินนี้ห่วยแค่ไหน) แต่ไม่มีบินทุกวัน ก็เลยต้องรออีกวันครับ ส่วนพวกผมอีกห้าคน ได้ตั๋วกลับ Buenos Aires ของสายการบิน LAN แต่จองไปจองมา ได้แวะ Ushuaia 22 ชั่วโมง (ตั๋วแบบนี้ก้มีด้วย) ซึ่งราคาถูกกว่าจองแบบบินตรงเข้า Buenos Aires เลย ซึ่งก็ดีครับ ได้เที่ยวอีกหนึ่งเมืองแบบฟรีๆ ตั๋วนี้มันแปลกตรงที่ ถ้าจองในเวบของ LAN จะไม่ขึ้น แต่ถ้าจองกับ orbitz หรือ priceline จะมีให้เลือกครับ
รูปหมู่สุดท้าย ที่หน้าบริษัทรถเช่าครับ ยื่นกล้องติดเลนส์ไวด์ให้ คนที่บริษัทก็ไม่ช่วยซูมให้ผมเลย 5555
สนามบินที่ El Calafate ใหม่และดูดีมาก เพิ่งสร้างเมื่อปี 2003 เองครับ ถ้านั่งเครื่องจาก El Calafate เข้า Ushuaia แนะนำว่านั่งฝั่งขวานะครับ จะได้วิวดีมากๆ
ที่ Ushuaia นี้ถือว่าใครมาที่นี่ก็ต้องเจอกับแคมเปญ “ใต้สุดของโลก” ไม่ว่าจะเป็น อุทยานแห่งใต้สุดของโลก ประภาคารใต้สุดของโลก รถไฟสายที่อยู่ใต้สุดของโลก เมืองใต้สุดของโลก บลาๆๆๆ (ซึ่งจริงๆมีหมู่บ้านเล็กๆของชิลีอยู่ใต้กว่า แต่ประชากรน้อยกว่า ที่นี่เลยได้รับชื่อ “เมือง” ใต้สุดไป) ถ้ามาตรงย่านนักท่องเที่ยว ตรงริมน้ำจะมีทัวร์ขายมากมายครับ แต่ทัวร์ที่ผมเล็งไว้ก็คือ Pira Tour หรือบริษัททัวร์ที่พาไปดูนกเพนกวินนั่นเอง (จริงๆบริษัทนี้มีทัวร์อื่นด้วย) มีได้รับสัมปทานแค่เจ้าเดียวนะครับ ซึ่งราคาก็ตามสไตล์ของการผูกขาดครับ คนละ 105 USD (แบ่งเป็นค่าทัวร์ 95 และค่าเข้าอุทยาน 10) โชคดีที่ผมจองไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทัวร์ขายดีมากๆ ถ้ามา walk-in เอา โอกาสได้น้อยมาก ยิ่งมากลุ่มใหญ่ด้วย แนะนำให้จองล่วงหน้ามาก่อนเลยครับ
ทัวร์จะพาแวะชมต้นไม้ที่เอนเพราะลมแรงครับ คนไทยเราก็แอคท่าถ่ายรูปได้ไม่เหมือนใคร 5555
เพนกวินที่นี่เป็น Magellanic Penguin นะครับ หน้าตามันก็จะน่ารักแบบนี้แล มีบางตัว ปากส้มๆ นั่นคือ Gentoo Penguin หน้าตากวนตีนหน่อยครับ 55555 ทัวร์นี้จริงๆจะเน้นนั่งรถมากกว่า ประมาณเกือบสองชั่วโมง ต่อเรืออีก 15 นาทีเพื่อไปยังเกาะเพนกวิน และได้อยู่บนเกาะประมาณ 45 นาทีครับ ถือว่าสั้น แต่ก็คุ้มค่าดี ได้เห็นเพนกวินระยะใกล้ชิดมากๆ บางตัวก็เดินห่างจากผมไม่ถึงสองเมตรเองครับ
และเราก็ปิดท้าย Ushuaia ด้วยของดีของที่นี่ นั่นคือ King Crab หรือที่ชอบเรียกกันว่าปูอลาสกานั่นเอง (ที่อื่นก็มีปูอลาสกานะครับ) ถ้าถามผมแล้ว ปูม้าบ้านเราอร่อยกว่าเยอะครับ
ในวันสุดท้ายของทริป หลังจาก transit 22 ชั่วโมง แวะเที่ยวดูเพนกวิน และกินปู 5555 ก็บินเข้า Buenos Aires ครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าไฟลท์จะบินเข้าสนามบิน AEP และเราต้องเปลี่ยนสนามบินไปที่ EZE สำหรับไฟลท์ต่างประเทศ เราถึง AEP กันตอนบ่ายสอง มีเวลากันประมาณสี่ชั่วโมง ต้องไปสนามบินตอนหกโมงเย็น เพื่อขึ้นเครื่องตอนสามทุ่ม ก็ปรึกษากันแล้วว่า สี่ชั่วโมงคงเที่ยวในเมืองไม่สะดวก ตอนแรกอยากจะไปย่าน La Boca ซึ่งเป็นย่านสลัม แต่มีตึกสีสวยๆ และเป็นย่านที่เป็นต้นกำเนิดของสโมสร Boca Junior นั่นเอง แต่ในเมื่อเวลาไม่พอ เราก็ตัดสินใจว่า เราจะ “กิน” ครับ 55555 ถาม information ได้มา เขาก็บอกว่า ลองไปร้านๆนึงมั้ย อยู่ไม่ไกล นั่งรถ taxi แค่ 5 นาทีเอง
นั่ง taxi แป๊บเดียว ก็หันหน้าไปมา เดินเองก็คงได้มั้ง คงไม่ไกลมาก ประหยัดละกัน แต่ที่ไหนได้ มันไกลมากครับ เดินลากกระเป๋าริมแม่น้ำกันประมาณ 1 ชั่วโมงได้ ผมคิดว่าชาวเมืองคงคิดว่าคนพวกนี้เขาทำอะไรกัน ทำไมต้องลากระเป๋าใหญ่ๆมาด้วย 555555
กระเป๋าที่ลากแต่ละใบ ไซส์ 25 นิ้วขึ้นไปทั้งนั้น ลากไปลากมาเกือบชั่วโมง หน้าตาบูดบึ้ง หิวมากกกกกกกก
และพอมาถึงร้าน สภาพหิวโซมาก พร้อมซัดได้ทุกเมื่อ ร้านนี้ชื่อ Siga la vaca เป็นสเต็กแบบบุฟเฟต์ สั่งเอาเนื้อส่วนไหน มีหมดทุกอย่าง และเนื้อวัวที่ประเทศนี้ก็ต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ มันเป็นร้านที่ทำให้ผมประทับใจเนื้อวัวมากๆ เป็นสเต็กเสื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลย นี่ขนาดร้านไม่หรูนะครับ สนนราคาคนละ 120 เปโซ แต่คุ้มค่ามากๆ เป็นอันจบทริป 11 วันใน Patagonia กันแบบอิ่มหนำสำราญมาก ตอนนั่งรถไปสนามบินนี่ทรมานกันไปครับ 555
ณ ตอนนี้ที่ผมเขียน เงินเปโซราคาตก เหลือ 1 USD ต่อ 10 เปโซ เทียบกับปีที่แล้วผมจ่ายที่ 5 เปโซ นั่นแปลว่าร้านสเต็กนี้ราคาจะถูกไปครึ่งนึง โอ้ววววววววว
ทริปนี้จะขาดไม่ได้เลยถ้าไม่มีสมาชิกทุกคน พี่แหวน พี่ต้อง พี่พอล เน โอ๊ค และใหม่
พี่แหวน เป็นหมอประจำทริป นอกจากจะคอยเตรียมยา ดูแลน้องๆ และก็แบกเครื่องซอง โจ๊กซองมาจากเมืองไทยให้พวกเราด้วย
พี่ต้อง เทรนเนอร์สุดฟิตประจำทริป ใครเดินไม่ไหว จะมีเทรนเนอร์คอยช่วยให้กำลังใจ เดินไปจนถึงจุดชมวิวได้ครับ
โอ๊คและใหม่ สองหนุ่มจากซิดนีย์ ที่นอกจากฝีมือการถ่ายภาพไม่ธรรมดาแล้ว ยังทำอาหารอร่อยด้วย และมุกตลกของใหม่ยังหาคนเทียมยาก
พี่พอล สร้างเสียงหัวเราะได้ และหาเพื่อนใหม่ได้ตลอดทริปครับ ผมรู้นะว่าพี่ได้ contact สาวอเมริกาใต้ไปหลาย 555
ส่วนเนก็ยังเป็นเนครับ ตัวเล็ก ขาสั้น แต่ก็เดินทันหนุ่มๆได้ แบกเป้บนหลังอีก ไม่ธรรมดา
ภาพใน blog ทั้งสามตอนนี้ก็ได้มาจากทุกๆคนในทริป ไม่ว่าจะขอก่อน หรือไม่ขอ ผมก็ขอยืมใช้เลยแล้วกัน 555
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนจบครับ หากใครเตรียมตัวไป patagonia ก็ขอให้โชคดี เดินทางปลอดภัย ได้ฟ้าสวยๆ อากาศดีๆ และเผื่อเวลาไว้เยอะๆนะครับ หวังว่าข้อมูลที่ผมใส่มาใน blog ทั้งสามตอนนี้จะเป็นประโยชน์ได้บ้าง หากมีข้อสงสัยก็ทิ้งไว้ใน comment หรือส่งอีเมลล์มาพูดคุยกันได้ครับ
-พี