Flight วันนี้พิเศษมากๆ ผมตั้งตารอคอยมามากกว่า 3 ปี นั่นคือ Singapore Airline ชั้นหนึ่ง ในรูปแบบ Suite
รีวิวนี้สนับสนุนด้วยไมล์ของตนเองล้วนๆ ครับ ไม่ได้รับ sponsor จากสายการบินแต่อย่างใด
ในรีวิวนี้จะแบ่งเป็นสองส่วน คือประสบการณ์บนเครื่อง และประสบการณ์ใน The Private Room ซึ่งเป็น First Class Lounge สำหรับผู้โดยสาร First Class เฉพาะ Singapore Airlines เท่านั้น
ปล. ภาพเยอะมาก โหลดนานหน่อยนะครับ
ที่ว่า Flight ครั้งนี้รอมาสามปี เนื่องจากก่อนโควิดผมแลกตั๋วไมล์ไว้ เดิมแลกเส้นทาง SIN-AKL แต่ช่วงโควิดทำให้เที่ยวบินถูกยกเลิกไป ไมล์ก็ค้างอยู่กับสายการบิน และ Airbus A380 ไม่ถูกนำมาบินเลย จนกระทั่งปี 2022 ที่เริ่มนำเครื่องออกมาบินมากขึ้น เลยกดแลกอีกครั้งด้วยรูท SIN-CDG แต่สุดท้ายก็โดนเปลี่ยน Aircraft เป็น Boeing 777 ซึ่งไม่มี Suite เลยต้องขอยกเลิกตั๋วนั้นอีกครั้ง และมาสมหวังที่รูท SIN-LHR หรือเส้นทางบินไป London Heathrow และเป็นเส้นทางของ A380 ที่ไกลที่สุดของสายการบินนี้ด้วยครับ เรียกได้ว่าสัมผัสประสบการณ์บนเครื่องได้เต็มๆ เลย และเรทแลกไมล์ก็สุดโหดเช่นกัน 55
อย่างที่เรารู้กันว่า Airbus A380 นั้นเหลือไม่กี่สายการบินที่ให้บริการแล้ว ด้วยต้นทุนการบินที่สูง และเป็นเครื่องสี่เครื่องยนต์ ถ้าได้บินกับเครื่องนี้ก็ตื่นเต้นมากๆ ครับ ตื่นเต้นเหมือนตอนได้บิน Boeing 747
Flight
Aircraft: Airbus A380-800
Flight number SQ308
Singapore (SIN) – London Heathrow (LHR)
Time 9.00 – 15.20 (14hr 20min)
Registration 9V-SKV
Seat 1F, 2F
หมายเหตุ รีวิวนี้เดินทางตั้งแต่มกราคม 2566 ซึ่งผมเพิ่งมีเวลามานั่งเขียน ประสบการณ์หลายอย่างอาจไม่ได้อัพเดตล่าสุด
สำหรับเส้นทางลอนดอนนั้น Singapore Airlines มีให้บริหาร 4 เที่ยวบิน แต่เป็น Airbus A380 เพียง 2 เที่ยวบินคือ ขาไป SQ308 และ SQ322 ส่วนขากลับ SQ317 และ SQ319 ตอนแลกก็ดูเลขเที่ยวบินและเครื่องที่ใช้ให้ดีนะครับ เพราะเรทแลกของ First Class ปกติ กับ First Suite เท่ากัน
มีโอกาสได้ลองใช้ First Class Check-in ด้วยครับ อยู่ที่ Terminal 3 มีทางเข้าแยกส่วนตัวเลย และมีทางเข้า security checkpoint แยกส่วนตัวด้วย เที่ยวบินของผมออกตอนเช้า ก็เลยมาตั้งแต่ยังไม่สว่าง เพราะจะรีบไปลองใช้บริการ Private Room (รีวิว lounge ด้านล่างของโพสนี้)
ทางเข้า First Class Lounge มีจุดรับส่งแยกจาก Terminal หลัก ดีกว่าของ TG ครับ เพราะของ TG ยังจอดรถบริเวณเดียวกันได้ แต่ของ SQ ยังไม่ได้ทำเป็น Terminal แยกแบบ Lufthansa
บริเวณที่นั่งรอของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
เคาเตอร์เชคอิน ถ้าจำไม่ผิดมีประมาณ 8 เคาเตอร์ครับ
On Board
ที่นั่งของ First Suite จะมีเพียง 6 ที่นั่งเท่านั้น จัดที่นั่งเป็น 1-1 และมี 3 แถว ลองจินตนาการถึงเครื่องบิน Airbus A380 ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลำตัวกว้างมาก แต่สายการบินจัดแบ่งที่นั่งเป็น 2 แถว ดังนั้นเราจะได้พื้นที่ใช้สอยเยอะมากๆ โดยที่นั่งแถว 1 และ 2 จะสามารถลดผนังกั้นเพื่อทำเป็นเตียงคู่ได้ หากเดินทางสองท่าน แนะนำให้รีบเข้ามาเลือกที่นั่งคู่ครับ
ที่นั่ง อยู่บนชั้นสองของเครื่องบิน
ถ่ายพาโนรามามาให้ดูเลยครับว่ากว้างขนาดไหน
เคบินจัดแบบ 1-1 และมีผนังกั้นสูงท่วมหัว ดังนั้นมีความเป็นส่วนตัวแน่นอน ประตูจะมีลายฉลุซึ่งผมชอบมันมากๆ
ที่นั่ง 1F ของผมวันนี้
และแต่ละที่นั่งนั้นมีพื้นที่ใช้สอยไม่เท่ากัน โดยที่นั่ง 1A/1F มีพื้นที่ประมาณ 5 ตารางเมตร (54 sqft), 2A/2F มี 4 ตารางเมตร (43 sqft) และ 3A/3F กว้างแค่ 3.25 ตารางเมตร (35 sqft) ดังนั้นตอนนี้ถ้าเดินทางคนเดียว น่าจะตอบได้ไม่ยากว่าควรเลือกที่นั่งไหนถึงจะคุ้มค่าที่สุด
และเมื่อเทียบกับ Etihad First Apartment (39 sqft) และ Etihad First Class 777 (40 sqft) ตอนนี้ที่นั่งของ Singapore จึงกว้างขวางที่สุดในโลกครับ (ข้อมูลจาก Mainly Miles https://mainlymiles.com/2018/08/25/review-singapore-airlines-new-a380-double-suite/
ใน Suite จะแบ่งเป็นสองส่วนหลักคือ เก้าอี้ และเตียง ตัวเก้าอี้นั้นหมุนได้ 360 องศา สำหรับทานข้าว ดูทีวี และเป็นที่นั่งตอนเครื่องขึ้นและลง ซึ่งตอนเครื่องขึ้นลง ทิศทางเก้าอี้จะหันไปด้านหัวเครื่องเท่านั้น
มีหมอนมาให้ 1 ใบ ถ้ามองรอบๆ ก็จะมีโต๊ะ ที่วางของอยู่รอบตัวทีเดียว ไม่รวมโต๊ะทานข้าวซึ่งพับเก็บได้
ที่นั่ง 1F มีทีวีจอเล็กอีกอัน ไว้สำหรับดู safety video เพราะว่าตอนเครื่องขึ้นและลง เก้าอี้จะหันไปทางด้านหน้าเครื่อง ทำให้ไม่สามารถดู video จากจอใหญ่ที่อยู่บริเวณเตียงได้
พอลูกเรือทราบว่าผมเดินทางมาสองคน ก็จัดแจงนำผนังกั้นระหว่างที่นั่ง 1F และ 2F ลงให้ทันที แต่เตียงจะถูกพับเก็บอยู่ในช่วงเครื่องขึ้นและลง สังเกตว่าจะมีเบาะที่มีผ้าปูเรียบร้อย
ตรงประตู จะมีตู้เสื้อผ้า เก็บของได้ สามารถวางเป้ใบใหญ่ได้หลายใบเลยครับ ความกว้างน่าจะราวๆ 20 cm ได้ ถือว่าใหญ่มาก
เวลาทานข้าว จะกางโต๊ะทานข้าวออกมาจากโต๊ะฝั่งที่มีแจกัน และตำแหน่งเก้าอี้จะถูกหมุนออกไปทางประตูเสมอ ถ้าเปิดประตูค้างไว้จะเห็นแขกที่ท่านที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ถ้าทั้งคู่เปิดประตู ก็จะทานข้าวแบบเห็นหน้ากัน ทั้งที่ไม่รู้จักกัน 55 ก็คงเป็นความรู้สึกที่แปลกดี แต่ลูกเรือจะปิดประตูให้ตลอดครับ เพื่อความเป็นส่วนตัว
Seat Controls
ด้านริมหน้าต่าง ก็จะมีปุ่มปรับที่นั่งทั้งหมด ปุ่มเรียกลูกเรือ ปุ่มเปิดปิดไฟ ปุ่มเปิดปิดม่าน และปุ่มหมุนทีวี (ใช่แล้วครับ ทีวีหมุนได้)
มี Tablet มาให้หนึ่งอัน สามารถใช้งานได้หลายอย่าง หลักๆ จะเป็นการควบคุมหน้าจอความบันเทิง และควบคุมการเปิดปิดไฟได้ ตัว Tablet นี้สามารถถอดออกมาได้นะครับ
นอกจากนี้ก็จะมีที่เก็บของ ที่วางแก้ว วัสดุปู top ให้ความรู้สึกเหมือนหินอ่อนเลยครับ แต่คิดว่าไม่น่าใช่ เพราะน้ำหนักเยอะเกินไป
ด้านล่างโต๊ะริมหน้าต่าง ก็จะมีปลั้กไฟ มีช่องเสียบ USB type A ช่องเสียบ HDMI และมี contactless payment ซึ่งไม่น่าจะมีใครได้ใช้เท่าไหร่
ช่องเสียบหูฟัง อยู่ด้านข้างของโซนปลั้กไฟอีกที เป็นแบบสามขา
สำหรับหูฟังที่แจกบนเครื่องเป็นแบบ noise-cancelling ยี่ห้อ Bang & Olufsen (B&O) ร่วม collab กับสายการบินครับ (ใช้บนเครื่องเท่านั้น)
ด้านล่าง มีที่วางของเล็กๆ เก็บหูฟังได้ครับ
โต๊ะที่อยู่ริมประตู ก็จะมีปลั้กไฟให้อีกหนึ่งตำแหน่งครับ
โต๊ะด้านบนยังเปิดมามีช่องเก็บของ และกระจกแต่งหน้าให้ด้วย เหมาะกับสาวๆ เป็นอย่างมาก สะดวกสุดๆ
ด้านบนมีไฟอ่านหนังสือ ปรับทิศทางได้
ผู้โดยสาร First Class จะได้ Free Wifi แบบไม่จำกัดตลอดเที่ยวบิน อินเตอร์เนตแรงใช้ได้เลย สามารถ work from anywhere ได้อย่างสบายๆ ผมลองใช้ wifi calling โทรกลับไทย ก็สามารถทำได้ แต่ยังไม่ได้ลองประชุม online meeting นะครับ
ช่วงที่บินผ่านประเทศอินเดีย อินเตอร์เนตจะใช้งานไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรเหมือนกันครับ ตอนที่เคยบิน Qatar ช่วงที่ผ่านอินเดียก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
ห้องน้ำ
สำหรับห้องน้ำ มีสองห้อง โดยห้องทางขวามือจะใหญ่กว่าเล็กน้อย ไม่มีที่อาบน้ำเหมือน Etihad & Emirates
ที่นั่งชักโครก
ห้องน้ำกว้างขนาดที่ว่ามีโต๊ะเครื่องแป้งให้สบายๆ เป็นข้อดีของเครื่องใหญ่อย่าง Airbus A380
ครีม สบู่ ในห้องน้ำก็ใช้ Lalique ทั้งหมดครับ
Double Bed
สำหรับ Singapore Airlines Suite แล้ว จะไม่พูดถึงเตียง Double Bed ก็เห็นทีจะไม่ได้ เพราะมันใหญ่ยักษ์จริงๆ
เมื่อเครื่องไต่ระดับแล้ว เราจะแจ้งลูกเรือให้มาทำเตียงเมื่อไหร่ก็ได้ครับ สำหรับผมได้แจ้งให้ทางลูกเรือปูเตียงตอนหลังจากทานอาหารมื้อแรกเสร็จแล้ว
จากเดิมที ที่เตียงถูกพับอยู่ในช่วงเครื่องบินขึ้นและลง
เมื่อกางเป็นเตียง จะได้เตียง Double Bed ที่อลังการที่สุดในสายการบิน Full service จะมีได้แล้ว ยอมในความกว้างขวางและอลังการของ Singapore Airlines Suite จริงๆครับ
เที่ยวบินนี้ยาวเกือบ 14 ชั่วโมง ทำให้เรามีเวลา enjoy double bed ได้อย่างเต็มอิ่ม
ฝรั่งหลายคนรีวิวว่าเตียงค่อนข้างแข็ง ส่วนตัวผมไม่ติดอะไร เพราะชอบที่นอนแข็งๆ อยู่แล้วครับ ส่วนผ้าห่มนั้น ดีมากกกก นอนไปตื่นนึง ก็ตื่นมาทานอาหารเช้าต่อได้
ความสนุกมันอยู่ที่ เครื่องบินมี free wifi ที่ความเร็วสูงพอที่จะเปิด youtube ได้ เราก็เลยเปิดคลิปเบเบ้ออกกำลังกายบนเครื่องซะเลย เตียงกว้างเหลือเฟือ 555 คงไม่มีที่นั่งแบบไหนทำได้แบบ Singapore Airlines First Suite อีกแล้ว
Dining
สำหรับอาหาร มี 2 มื้อหลัก คือเสิร์ฟมื้อเช้า และก่อนถึงลอนดอนเสิร์ฟมื้อเย็น สปอยล์เร็วๆ ผมยังคิดว่าอาหาร First Class ของ Singapore ยังน่าผิดหวังเมื่อเทียบกับสายการบินอื่นครับ ความอลังการ การจัดจาน และรสชาติ ยังสู้สายอื่นไม่ได้ แม้เป็นอาหารจีน วัตถุดิบดีก็จริง แต่ก็ไม่ได้อร่อยมากนัก
First Class เที่ยวบินระยะไกล จะขาดคาเวียร์ไปไม่ได้เลย
เริ่มเมนูแอลกอฮอล์ก่อนครับ สิงคโปร์มีแชมเปญ ไวน์ จัดเต็ม
ตอนนี้แชมเปญมี 2 ตัวคือ 2008 Comtes และ Krug เมื่อก่อนมี Dom Pérignon ด้วย แต่ตอนนี้ Dom ไป exclusive กับ Emirates เสียแล้ว
เมนู Mocktail, Cocktail, Soft drinks, coffee, TWG tea
เมนูอาหารเช้า ผมเลือก Main เป็น Lobster Dumplings ครับ และทานคอร์นเฟลคเป็น starter ง่ายๆ
Lobster Dumplings รสชาติก็พอผ่านครับ ไม่ได้น่าประทับใจอะไรมากนัก
ส่วนแฟนผมรับเมนูปลา ซึ่ง pre-order จาก book the cook และติมซำ
Dim Sum
สำหรับเมนูอาหารเย็น มี the must เป็น chicken satay และผมสั่ง appetizer เป็นคาเวียร์ และ pork soup ซึ่งเป็น special ช่วงตรุษจีน
ส่วน main course ก็รับเมนูพิเศษตรุษจีนเช่นกัน เป็นข้าวกับอาหารจีนหลายๆ อย่าง
Singapore Chicken Satay อันนี้ผ่านครับ ดีสมคำร่ำลือ
ซุป รสชาติดีทีเดียวครับ เป็น Double boiled pork soup with dried oyster, baby abalone, wai shan yam และ lotus seed หลักๆ ก็มีหอยแห้ง และเป่าฮื้อ
Main Course หน้าตาค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อย หน้าตาเหมือนข้าวตักราดแกง 55 แต่วัตถุดิบดีนะครับ ชื่อเต็มคือ Braised fish maw, sea cucumber, dried oyster, dried scallop, roasted pork, served with vegetables and steam rice แปลคร่าวๆ ก็คือข้าวราดกับต่างๆ มีเนื้อสัตว์เป็รกระเพาะปลา หอย และหมู
ส่วนรสชาติ ถ้าใครชอบอาหารรสจัด น่าจะไม่ค่อยถูกใจนักครับ
ที่น่าสนใจคือมี Bee Cheng Hiang ยี่ห้อหมู่แผ่นชื่อดังแจกด้วย เป็นชิ้นเล็กๆ แต่ที่แจกนี้ทำจากไก่นะครับ ผมว่าสายการบินบ้านเราน่าจะแจกอะไรแบบนี้บ้าง เอา local brand มาโปรโมต ทำให้ดี
ตบท้ายด้วยของหวาน และ cheese plate
สำหรับการทานอาหาร ถ้ามาสองคน จะนั่งหากันไม่ได้ เพราะตำแหน่งที่นั่งทานอาหารจะหันไปทางประตู บรรยากาศการกินสองคนจะแปลกๆ ไม่เหมือนทานข้าวด้วยกัน
และถ้าประตูเปิดไว้ เราก็จะเห็นผู้โดยสารฝั่งตรงข้ามด้วย เป็นการทานอาหารที่มีความรู้สึกแปลกดี
Singapore First Suite มีกิมมิคนึงที่เจ๋งมากๆ เลยคือ เราสามารถขอทานอาหารเช้าบนเตียงได้ ทางสายการบินจะยกโต๊ะเล็กๆ มาวางบนเตียงให้ อันนี้ยังไม่เคยเห็นสายการบินอื่นมีนะครับ และเท่าที่ถามดู มีโต๊ะจำนวนจำกัดแค่ 1-2 ตัว ดังนั้นถ้าผู้โดยสารทุกคนจะทานอาหารบนเตียงพร้อมกัน โต๊ะจะไม่พอครับ ต้องเวียนนิดนึง
Breakfast in Bed เป็น concept ที่เก๋สุดๆ คือสายการบินต้องมี 3 อย่าง คือเตียงใหญ่ๆ โต๊ะพับ และบริการ นับว่าเป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้ผมประทับใจมาก
อย่าลืม request นะครับ เอามาถ่ายรูปก็สนุกแล้ว
Amenity
ทาง Singapore Airlines มี collab กับแบรนด์ Lalique จากฝรั่งเศส ทั้งชุดนอนและ Amenity Kit จะได้จากแบรนด์นี้ ที่เจ๋งคือ Amenity Kit จะแยกของสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีด้วยครับ กระเป๋าที่ให้มา ดูดีมากๆ และของข้างในจัดเต็มสุดๆ
ก่อนหน้านี้ผมเคยอ่านรีวิวว่ามีเทียนหอมอยู่ในกระเป๋าด้วย แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วนะครับ
ของที่ให้ก็จะมี น้ำหอม ครีมทามือ ลิปมัน และ Facial mist เหมือนกันทั้งสองแบบ
ของสุภาพบุรุษ ได้กระเป๋าหนังสีดำ มีน้ำหอมกระปุกใหญ่ด้วย แต่ Amenity Kit ก็คุ้มแล้ว
ส่วนกระเป๋าของสุภาพสตรี สีสวยหวานมาก มีน้ำหอมมาให้แบบจัดเต็มเช่นกัน หนึ่งกล่องเต็มๆ
ชุดนอนที่ให้ มาเป็นถุงยี่ห้อ Lalique ก็เลยจัดถ่ายคู่กับผ้าห่มยี่ห้อเดียวกันเลย
Booking
การแลกไมล์เส้นทางนี้นั้นบอกเลยว่ายากมาก และยากขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อต้องการ 2 ที่นั่งบนเที่ยวบินเดียวกัน ปกติ Singapore Airlines จะมีเรท Saver กับ Advantage
Saver ใช้ 141,000 miles ต่อขา
Advantage ใช้ 225,000 miles ต่อขา
ตอนจองผ่าน website จะต้องเลือกเฉพาะขา SIN-LHR เท่านั้น ไม่สามารถเลือก BKK-SIN-LHR ได้เนื่องจาก BKK-SIN ไม่มี First ให้บริการครับ ตอนที่ผมจอง ถ้าอยากเพิ่มขา BKK-SIN เป็น Business ต้องโทรเข้าไปสิงคโปร์ให้เจ้าหน้าที่ทำให้เท่านั้น แต่ตอนนี้ได้ยินว่าสามารถจอง SIN-LHR เป็น First ไปก่อน (รีบคว้าก่อนเผื่อที่นั่งหาย) แล้วค่อยโทรไปขอเพิ่มขา BKK-SIN ภายหลังได้แล้วครับ
สำหรับประสบการณ์การจอง ที่ว่ายากมากๆ นั้นเป็นเพราะว่าที่นั่งที่เปิดให้แลกนั้นแทบจะไม่มีเลย บางวันมีปล่อยแค่เที่ยวบิน Boeing 777 เท่านั้น และถ้ามี ก็ไม่มี Saver เลยครับ ต้องทำใจเลยว่า ถ้าอยากบิน First Suite ต้องจ่ายเรท Advantage 225,000 miles ไปโดยปริยาย ไปกลับก็ 450k เกือบครึ่งล้านเลยทีเดียว การหาที่นั่งก็ไม่มีทริกอะไรนอกจากถึกครับ เข้ามาเช็คบ่อยๆ ถ้าแลกล่วงหน้า 1 ปี โอกาสก็จะสูงกว่าแลกใกล้ๆ โดยสายการบินจะเปิดให้แลกล่วงหน้าประมาณ 360 วันครับ ถ้าวางแผนเดินทางล่วงหน้าได้ ก็เตรียมลงปฏิทินล็อควันเข้ามากดจองได้เลย และให้มี flexibility มีวันเดินทางยืดหยุ่นได้อีกหน่อย และขยันเข้ามาเชค ขยันหา น่าจะพอหาได้ แต่ถ้าจะเอา 2 ที่จะยากมากๆ
ล่าสุดมีทีมของ Suitemiles รวม Award Availability ไว้ให้แล้วครับ https://suitesmile.com/blog/2023/10/08/award-availability-outlook-singapore-airlines-suites/ อ่านลองดูแล้ว รูทที่พอหาไม่ยากจะเป็นสายอินเดียและจีน ส่วนเส้นทางลอนดอนตอนนี้ Zero Availability เลยครับ อนาคตอาจจะดีขึ้นก็ได้
ที่นั่งของ First Class นั้นทาง Singapore Airlines ไม่ปล่อยให้แลกผ่านสายการบินอื่น ต้องแลกจาก Krisflyer miles เท่านั้น ดังนั้นการหาด้วยระบบของการบินไทย หรือสายการบินใดๆ หรือการใช้ tool เช่น Expertflyer ก็จะไม่สามารถใช้ได้ ใช้ความขยันเข้าสู้เท่านั้นครับ
การได้ไมล์ของ Singapore Airlines นั้นมาจากการบิน หรือโอนจากบัตรเครดิตก็ได้ครับ ซึ่งบัตรเครดิตในไทยหลายๆ ใบก็โอนแต้มมาได้ เช่น Citibank หรือ UOB ส่วนผมใช้บัตรเครดิตของอเมริกาครับ การโอนแต้มก็ใช้เวลา 3-5 วันโดยประมาณ แต่ต้องอย่าลืมว่าไมล์เมื่อโอนมาแล้วจะมีอายุ 3 ปีนะครับ ไม่แนะนำให้แลกมาทิ้งไว้ แลกเมื่อวางแผนจะเดินทางเท่านั้น
ถามว่า 225,000 ไมล์คุ้มไหม ถ้าซื้อตั๋ว one-way ราคาจะอยู่ที่ 310,xxx บาท และไปกลับประมาณ 5 แสนบาท ความคุ้มตกอยู่ที่ไมล์ละ 1-1.4 บาท
เทียบกับ First การบินไทย ใช้ 125,000 ไมล์ กับค่าตั๋ว 108,xxx บาท ตกไมล์ละ 0.84 บาท การบินไทยใช้ไมล์น้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับค่าตั๋วจริง Singapore Airlines คุ้มกว่า
The Private Room
ทิ้งท้ายรีวิวนี้ด้วย The Private Room ซึ่งเป็น Lounge ใน First Class Lounge อีกทีหนึ่ง ที่จำกัดเฉพาะผู้โดยสารชั้นหนึ่งของ Singapore Airlines เท่านั้น สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งของสายการบินอื่น หรือ Star Alliance สามารถเข้าได้เฉพาะ First Class Lounge หลักเท่านั้น
ทางเข้า
The Private Room ปิดไปช่วงโควิดเพื่อปรับปรุง และเพิ่งเปิดอีกทีเมื่อปลายปี 2022 นี่เอง นับว่าเป็นโฉมใหม่
โดยตัว The Private Room จะแบ่งเป็น 2 โซนคือ โซนทานอาหาร และโซนที่นั่งทั่วไป มีห้องพักส่วนตัวที่ผมไม่ได้เข้าไปชม เนื่องจากเต็ม และห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ
พื้นที่ทานอาหาร
พื้นที่ทานอาหาร แบบโต๊ะคู่
บริเวณบาร์เครื่องดื่ม ซึ่งจริงๆ เราไม่ต้องเดินไปสั่ง เพราะจะมีพนักงานมาคอยรับออเดอร์และดูแลเราตลอด
บริเวณที่นั่งทั่วไป
ห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ
ในห้องน้ำ ใช้ครีมของ Lalique ทั้งหมด
สำหรับเมนู ขอแปะรวมให้ดูหลายๆ ภาพพร้อมกันนะครับ เนื่องจากผมเดินทางช่วงเช้า จะได้แค่เมนูอาหารเช้าเท่านั้น แต่เมนูอาหารเที่ยงและอาหารค่ำนั้นน่าสนใจกว่ามากๆ อาหารเที่ยงเสิร์ฟตั้งแต่ 11.00 – 18.00 และหลัง 18.00 จะเป็นอาหารค่ำ
ช่วงที่ผมไป ก็มี Chinese New Year Special Menu ด้วย ซึ่งมีแค่กลางวัน แต่ทางพนักงานแจ้งว่าผมสามารถเลือกรับสลัดได้ (ในเมนูคือ Yu Sheng)
เช้านี้ก็เลยลอง Lobster Lak Sa, Cod Congee และ Dim Sum ก่อนจะไปจัดเต็มบนเครื่อง
Lobster Lak Sa
Yu Sheng
Cod Congee อันนี้อร่อยมากจนต้องขอเบิ้ล
แถมส่งท้าย มีเก็บภาพบรรยากาศ First Class Lounge มาให้ชมเพิ่มเติมครับ ถ้าเดินทางด้วย First Class ของสายการบินอื่น สามารถใช้บริการได้ ไลน์อาหารก็ดูดีทีเดียว
สามารถสั่ง made to order ได้หลายเมนูครับ
บทสรุป
Singapore First Suite เรียกได้ว่าเป็นอีกตัวจบนึงของ First Class ที่นั่งอลังการมากๆ และเป็นที่นั่งชั้นหนึ่งที่กว้างที่สุดในตลาด มีเตียงแยก และถ้ามาสองคน เลือกที่นั่งแถว 1 และ 2 สามารถทำเป็น Double Bed ได้ อลังการคูณสองไปอีกครับ
บริการของลูกเรือก็ไม่มีที่ติ สุภาพมาก ประสบการณ์สูงมาก สามารถอ่านความคิดได้ว่าเราต้องการอะไร และมีความเป็นกันเอง
ที่ยังรู้สึกว่าไปไม่สุดก็เรื่องอาหาร ที่รสชาติยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่นักครับ แต่ทางสายการบินอาจจะปรับให้ดีขึ้นในอนาคตก็ได้ รีวิวนี้อาจจะใช้เป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ต้องดูรีวิวของผู้โดยสารท่านอื่นที่เดินทางในช่วงใกล้ๆ กันอีกที
สรุปของสรุป ต้องมาลองสักครั้งในชีวิต แลกไมล์ของ Suite ไม่มี Saver Rate นะครับ โดน Advantage จุกๆ ไป แต่รับรองว่าคุ้มแน่นอน ถ้าอยากลองแบบรูทใกล้ๆ สามารถลองเส้นทางอินเดีย หรือจีนก็ได้ครับ แต่อนาคตเส้นทางอาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ได้
ขอบคุณที่ติดตามครับ