จาก blog เกี่ยวกับอลาสกาที่เคยเขียนนานมาแล้ว มีเส้นทางอีกเส้นนึงที่ผมไม่ได้พูดถึงไว้ เพราะมันค่อนข้างจะเป็นการผจญภัยสมบุกสมบันอยู่พอสมควร การเดินทางที่ว่านี้ก็คือการขับรถไปบนถนนสายที่ยาวที่สุดในอลาสกาที่ชื่อว่า Dalton Highway
สำหรับทางหลวงหมายเลข 11 ที่ชื่อ Dalton Highway เส้นทางสายนี้ลากยาวจากทางตอนเหนือของเมือง Fairbanks ยาวขึ้นไปจนสุดที่ Deadhorse ซึ่งตั้งอยู่เกือบติดกับมหาสมุทรอาร์คติก ว่าง่ายๆก็คือใกล้ขั้วโลกเหนือมากๆนั่นเองครับ กะแค่ถนนหนึ่งเส้น แล้วทำไมมันถึงน่าสนใจ แค่ชื่อของถนนเส้นนี้ก็น่าสนใจแล้ว ฝรั่งชอบเรียกถนนเส้นนี้ว่าเป็น dead road บ้าง หรือเป็น one of the most dangerous road บ้าง จริงๆแล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นครับ ตัวถนนเองสร้างในช่วงปี 1970 สร้างขึ้นควบคู่กับท่อส่งน้ำมันที่ชื่อ Trans-Alaskan Pipeline การมีอยู่ของถนนนั้นมีวัตถุประสงค์หลักคือไว้ขนส่งลำเลียงวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรขนาดหนักไปยังบ่อน้ำมันทางตอนเหนือของอลาสก้าที่อยู่ติดกับมหาสมุทรอาร์คติก ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีรถบรรทุกวิ่งอยู่ทุกวันครับ ทำให้มีชื่ออีกชื่อก็คือ Haul Road นั่นเอง
เส้นทางทั้งหมดยาว 414 ไมล์ หรือ 666 กิโลเมตร หากขับรถแบบยิงยาวเลยจะใช้เวลาราวๆหนึ่งวันเต็มครับ
Dalton Highway ในฤดูร้อน กับแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืน
ความยากของการสร้างถนนสายนี้ไม่ได้อยู่ที่ความยาว แต่มันอยู่ที่การสร้างไปบนสภาวะภูมิประเทศที่มีพื้นดินไม่ดี หลายๆส่วนเป็น permafrost ซึ่งมีความยวบ พื้นดินไม่แน่น ด้านล่างเป็นน้ำแข็ง ละลายได้ในฤดูร้อน และยังต้องทนกับสภาวะอากาศสุดขั้วในหน้าหนาว หนาวขนาดติดอันดับสถิติเลย ที่ชุมชนเล็กๆที่ชื่อ Prospect Creek ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายนี้ เคยมีอุณหภูมิต่ำที่สุดในสหรัฐอเมริกาคือ -62 องศาเซลเซียส คิดดูแล้วกันครับว่าการสร้างถนนให้รองรับสภาพสุดขั้วนี่มันจะยากขนาดไหน นี่ไม่รวมไปถึงการขับรถบรรทุกในหน้าหนาวที่อุณหภูมิและลมโหดสุดๆ
มันน่าสนใจขนาดที่ว่าเคยมีสารคดีเกี่ยวกับคนขับรถบรรทุกชื่อว่า Ice Road Trucker หากใครสนใจก็ติดตามหามาดูกันได้ครับ
สำหรับผมแล้ว Trans-Alaska pipeline ก็น่าสนใจ แต่ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นคือความรู้สึกที่ได้ไปพิชิตพื้นที่ๆห่างไกลเหนือเส้น Arctic Circle นั่นเองครับ
ผมเคยมาที่ Dalton Highway สามครั้งด้วยกัน แต่ออกตัวก่อนว่าผมไม่เคยขับขึ้นไปจนสุดถึง Deadhorse หรือ Prudhoe Bay นะครับ เพราะมันไกลมากๆ ตอนที่ตัดสินใจไป ผมอยากไปเห็นภูเขาสวยๆ เลยไปสุดทางแค่บริเวณ Atigun Pass ซึ่งอยู่ตรงแนวเทือกเขา Brooks Range เท่านั้น และ Atigun pass ก็เป็น mountain pass ที่สูงที่สุดในอลาสก้า และมีความชันมากๆอีกด้วย จาก Atigun Pass ถ้าเลยขึ้นไปทางเหนือ ก็จะเข้าสู่เขตที่ราบกว้างใหญ่ เรียกว่า North Slope กว้างสุดลูกหูลูกตา ยาวไปทางเหนือ เรื่อยไปจนชนมหาสมุทรอาร์คติก ที่ North Slope นี่เป็นแหล่งของกวางคาริบูเลยครับ แต่โอกาสเจอก็ไม่ได้ง่ายมากขนาดนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ผมไปสุดแค่ Brooks Range และตัดการเดินทางที่เหลือออกไป
แผนที่ของ Dalton Highway สามารถโหลดฟรีได้จากเวบไซท์ของ BLM
ผมเดินทางบนถนนเส้นนี้ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2015 ซึ่งเส้นทางก็ลาดยางไปเยอะมากแล้ว เมื่อเทียบกับปี 2011 ที่มาครั้งแรก ตอนนั้นเส้นทางเกือบทั้งหมดเป็นถนนลูกรัง แต่ในปี 2015 ช่วงจาก Yukon River crossing ถึงประมาณ milepost ที่ 195 (เลยเมือง Wiseman ไปหน่อย) เป็นลาดยางตลอดเส้นหมดแล้ว ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นมาก แต่ช่วงทางเข้า Dalton Highway ถึง Yukon River crossing ยังเป็นลูกรังอยู่ และช่วงจากเลย Wiseman เรื่อยไปจนถึง Atigun pass ก็ยังเป็นทางลูกรังเช่นกัน ฉะนั้นการเลือกรถที่ยางเส้นหนา ดอกยางดีๆ จึงมีความจำเป็นมาก เพราะระยะทางไกลขนาดนี้ การมีรถที่สภาพดี ทำให้เราอุ่นใจกว่ากันเยอะเลยครับ ผมเคยเช่า Chevrolet Suburban, Ford Transit (รถตู้ ตอนนั้นเช่าในทริปหน้าหนาว) และ Nissan X-trail สำหรับทริปทั้งสามครั้ง ไม่เคยมีปัญหาเรื่องยางเลย จากประสบการณ์ที่ขับมา ช่วงหน้าหนาว โอกาสที่จะมีปัญหาเรื่องยางรั่วจะน้อยกว่า เพราะถนนคลุมไปด้วยหิมะ มีความนุ่มกว่า โอกาสโดนหินแหลมบาดยางได้น้อยกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสภาพถนนที่ขับยากกว่ากันมาก
บริษัทรถเช่าส่วนใหญ่จะห้ามขับบนถนนเส้นนี้ และจะไม่ครอบคลุมใน contract ของรถ และประกันรถนะครับ ดังนั้นถ้าจะเช่ารถขับก็ต้องรับความเสี่ยงเอง แต่ก็มีอยู่เจ้านึงครับที่ให้ขับใน Dalton Highway ได้ ก็คือ GoNorth Alaska และบริษัทนี้มีให้เช่า RV ด้วย เผื่อใครอยากขับ RV บนถนนเส้นนี้
หากใครไม่อยากขับรถเอง มี shuttle ของ Dalton Highway Express บริการนะครับ อาทิตย์ละสองวัน ช่วงหน้าร้อน หรือใช้บริการของ Northern Alaska Tour ก็ได้ มีทริปแบบ Fly + drive คือบินไป Coldfoot แล้วนั่งรถขากลับ
ในฤดูหนาวถนนเส้นนี้แทบจะมีหิมะคลุมทั้งหมดตลอดเส้น
ทริปล่าสุด เดือนสิงหา 2015 ของเราตั้งต้นกันที่ Fairbanks ที่นี่เราหาซื้อเสบียงทั้งหมด รวมไปถึงซื้อ snow chains สำหรับพันล้อ เพราะในช่วงปลายเดือนสิงหาคมก็มีโอกาสที่จะเจอหิมะที่ Atigun pass ได้ นอกจากนี้เราก็ยังแวะร้านขายยาง เพื่อหาซื้อยางสำรองไว้อีกหนึ่งเส้น รวมกับยางสำรองที่แถมมากับรถอีกหนึ่งเส้น เป็นทั้งหมดสองเส้น เพราะการขับรถบนถนนเส้นนี้ เขาแนะนำให้มียางสำรองอย่างน้อยสองเส้นครับ โชคดีมากๆที่ตอนจบทริปก็ไม่ได้ใช้สักเส้น เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพื่อความอุ่นใจ ยอมควักเงินซื้อยางอีกเส้นนึงครับ ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้ก็สามารถเอาไปขายตามร้านยางมือสองได้อีกต่อนึง
หลักกิโล หรือไมล์แรกของ Dalton Highway นั้นไม่ได้เริ่มจากเมือง Fairbanks แต่ว่าจะเลยขึ้นไปทางเหนืออีก 84 ไมล์ โดยเราต้องขับไปบนถนน Elliot Highway ซึ่งก็เป็นถนนลาดยางไปตลอดเส้นทางไปประมาณชั่วโมงครึ่งก่อน ถึงจะเริ่มเข้าสู่การผจญภัยอย่างแท้จริง
ป้ายทางเข้า Dalton Highway (ถ่ายหน้าหนาว เดือนมีนาคม 2012)
ขับมาอีกหน่อยจะเจอป้าย Dalton Highway อันใหญ่เวอร์วังอลังการ เพิ่งทำใหม่ช่วงหลังๆนี้เอง (ถ่ายเดือนสิงหาคม 2015) ตอนปี 2012 ยังไม่เห็นป้ายนี้เลย
วิวข้างทางจะไม่ค่อยมีอะไรมาก เป็นป่าสนไปสักพักใหญ่ ขับไปอีก 56 ไมล์ก็จะถึง Yukon River crossing ที่นี่มี visitor center เล็กๆ มีปั้มน้ำมัน (แต่เปิดแค่ช่วงหน้าร้อน) มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และมีโรงแรมเล็กๆ ทั้งหมดรวมกันอยู่ใน Yukon River camp บรรยากาศก็ลูกทุ่งมาก ตัวอาคารเหมือนคอนเทนเนอร์ธรรมดานี่เอง
ตลอดเส้นทาง 666 กิโลเมตร มีปั้มน้ำมันแค่ 3 ปั้ม ซึ่ง Yukon River camp ก็คือหนึ่งในนั้น อีกสองที่คือ Coldfoot และสุดทางที่ Deadhorse ถ้ามาช่วงหน้าหนาว ก็จะเหลือแค่สองปั้ม นั่นแปลว่า เราต้องเตรียมน้ำมันให้พอ เติมเต็มตั้งแต่ Fairbanks (หรือจะแวะอีกปั้มที่ Livengood อยู่ทางเหนือของ Fairbanks นิดหน่อย) แล้วให้พอยิงยาว 414 กิโลเมตรมาถึง Coldfoot ให้ได้ ต้องกะขนาดถังน้ำมันรถ และอัตราการกินน้ำมันของรถให้พอดีจริงๆ ซึ่งส่วนมากถ้าเติมเต็มๆก็มาถึงได้แน่นอนอยู่แล้วครับ
รถบรรทุก จอดแวะพักใกล้ๆ Yukon River
จากตรงนี้ เราจะต้องขับรถไปอีก 133 ไมล์ หรือ 215 กิโลเมตร เพื่อไปยังที่พักที่ Boreal Lodge ที่เราจองไว้ อยู่ที่เมือง Wiseman จุดชมวิวระหว่างทางหลักๆก็จะมี Finger mountain และ Arctic Circle sign ซึ่งผมเชื่อว่านักเดินทางทุกคนต้องมาแวะถ่ายรูปกับเจ้าป้ายนี้อย่างแน่นอน
Highlights
Finger Mountain
ขับมาราวๆหนึ่งชั่วโมงเศษๆ จะพบกับ Finger mountain อยู่ที่ milepost ที่ 98 เป็นที่ราบกว้างๆ มีหินชี้ขึ้นมาเป็นแท่งเหมือนนิ้วมือคน แต่ผมว่าเหมือนหินตามากกว่า 555 ผมเคยมาตอนหน้าร้อนในเดือนมิถุนายน และหน้าหนาวในเดือนมีนาคม ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามาช่วงปลายเดือนสิงหา ต้นไม้แถวนี้จะเปลี่ยนสีสวยมากๆ เป็นสีแดงรอบตัว 360 องศาเลยทีเดียว
ใบไม้เปลี่ยนสีแถว Fingre Mountain
แต่ถ้ามา Finger Mountain ตอนฤดูหนาวก็จะให้บรรยากาศอีกแบบไปเลยครับ โล่งสุดลูกหูลูกตา
Arctic Circle Sign
ขับต่อมาอีก 17 ไมล์ก็จะถึง Arctic Circle Sign ที่ milepost 115 ป้ายนี้เขาว่ากันว่าเป็นป้ายของ Arctic Circle ที่คนมาถ่ายรูปเยอะที่สุด อีกที่ที่คนถ่ายกันบ่อยๆคือที่นอร์เวย์ แต่ผมว่าของอลาสก้าสวยกว่านะครับ 555
ได้มาถ่ายสามฤดูครับ ทั้งหน้าร้อน (2011), หน้าหนาว (2012), และใบไม้เปลี่ยนสี (2015)
สภาพรถหลังจากขับมาได้ครึ่งทางก็จะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวก็จะสะอาดกว่านี้หน่อย 55
จากป้าย Arctic Circle เรื่อยไปจนถึงเมือง Coldfoot (แปลตามตัวก็คือเย็นเท้านั่นเอง 555) เราก็จะเห็นวิวที่เริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเป็นที่ราบกว้างๆสลับเนินเขา แต่ภูเขาจะยังไม่สวยสุดๆจนกระทั่งเราเข้าเขตเทือกเขา Brooks Range
บรรยากาศหน้าหนาว แถวๆ Prospect Creek ที่เห็นไกลๆนั่นก็คือเทือกเขา Brooks Range ครับ
แต่เพื่อนที่เราจะเห็นได้ตลอดทางนั่นก็คือ Trans Alaskan Pipeline นั่นเอง จุดที่สามารถถ่ายได้ใกล้ๆอยู่ตรง Visitor Center ข้างๆ Yukon River Crossing นั่นเองครับ
Coldfoot & Wiseman
ที่ Coldfoot Camp (ไมล์ที่ 175) นี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ตั้งแต่ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร ร้านขายของที่เปิด 24 ชั่วโมง มีไปรษณีย์ให้ส่งโปสการ์ดด้วย และก็มีที่พัก แต่เป็นแบบบ้านๆหน่อย ราคาก็สูงพอตัว คืนละ $219-249 ครับ ผมว่าถ้าแพลนล่วงหน้าหน่อย จองที่เมือง Wiseman ดีกว่า ส่วนใหญ่รถบรรทุกก็จะมาจอดนอนที่ Coldfoot กัน แต่ก็นอนในรถครับ 55
Coldfoot Camp ถ่ายกันตรงหน้าไปรษณีย์เลย รถฝุ่นจับจนมองไม่เห็นป้ายทะเบียน
ตรงข้าม Coldfoot ก็จะมี Visitor Center อีกแห่งนึงชื่อ Arctic Interagency Visitor Center ข้อมูลเยอะดีครับ มีนิทรรศการเล็กๆด้วย ซึ่งดูแลอุทยาน Gates of the Arctic National Park & Preserve ที่เป็นอุทยานแห่งชาติขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยอุทยานที่ขนาดใหญ่ทีสุดคือ Wrangell-St. Elias National Park & Preserve
จะว่าไป อุทยานที่ใหญ่ที่สุดสี่อันดับแรกของอเมริกา ก็อยู่ในอลาสก้าหมดเลยครับ ไล่ไปตั้งแต่ Wrangell-St. Elias > Gates of the Arctic > Denali > Katmai
Arctic Interagency Visitor Center
ขับต่อมาอีกหน่อยจะเจอเมือง Wiseman ที่ milepost 189 โดยที่เมืองนี้มีที่พักแบบ cabin อยู่สองเจ้าครับ เป็นแบบ family-operated คือ Arctic Getaway Bed & Breakfast และ Boreal Lodge ในทริปปี 2015 ผมโชคดีจองที่พักของ Arctic Getaway Bed & Breakfast ได้สองคืนครับ จริงๆที่นี่จองเต็มล่วงหน้ากันเป็นปี แต่โชคดีตอนต้นเดือนสิงหาผมลองโทรมาเล่นๆ ปรากฏมีว่างพอดี ก็เลยเลือกเซตทริปและไปวันนั้น เรียกได้ว่าค่อนข้างกระชั้นชิดพอสมควร
ที่พัก Arctic Getaway Bed & Breakfast เป็นบ้านไม้ น่าอยู่มากๆ
จากนั้นเราก็ลุยกันต่อ ขึ้นเหนือไปจนถึง Atigun Pass ครับ ถ้าวันที่ดี ฟ้าเปิด และฟ้ามืดสนิท แถวนี้เห็นแสงเหนือแน่นอน และภูเขาก็สวยมากๆด้วย แถวนี้ถ้ามาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมากๆ
บรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี Version หลังกล้อง กับหลังคอมครับ 555
ขับจาก Wiseman มานิดนึงจะเจอภูเขารูปทรงสวยๆชื่อ Sukakpak Mountain (milepost 204) แนะนำให้แวะมากๆครับ เป็นภูเขาที่สวยที่สุดในละแวกนี้เลย ยิ่งตอนแสงเย็นฉาบภูเขานี้สวยมากๆ
Sukakpak Mountain
Atigun Pass
มาถึงพระเอกของเส้นทางนี้ นั่นคือ Atigun Pass (milepost 244) ซึ่ง
เป็น pass ตัดข้ามภูเขาที่สูงที่สุดในอลาสก้า และเป็นจุดสูงสุดของ Dalton Highway อีกด้วย ตัว Pass จะตัดผ่านตรงกลางแนวของ Brooks Range พอดี และพอขับข้ามไป จะได้เจอวิวที่อลังการมากๆ เป็นภูเขาสูงรายล้อม และไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย เนื่องจากอยู่ในละติจูดที่สูงมาก และมีความสูงอีกด้วย ทำให้มีแต่ต้นไม้เล็กๆ เป็นพื้นที่แบบทุนดราเป็นหลัก
ผมเอาบรรยากาศจาก 3 ฤดูมาให้ชมกัน เริ่มจากฤดูร้อนก่อนเลย ทีนี่ ผมได้เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนเป็นครั้งแรกในชีวิต ขับจาก Fairbanks มาตั้งแต่เที่ยง มาถึงที่นี่เกือบเที่ยงคืนพอดี แล้วตีรถกลับ 555 ต้องขอบคุณพี่ๆในทริปทุกคนี่ช่วยผลัดกันขับครับ
ตัดมาที่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกันบ้าง เนื่องจากที่อลาสก้า ใบไม้จะเปลี่ยนสีเร็ว และพอยิ่งเป็นโซนที่อยู่สูงๆและทางตอนเหนืออย่าง Atigun Pass ก็เลยเปลี่ยนเร็วกว่าใครเพื่อน ผมมาตอนปลายเดือนสิงหาก็แทบจะไม่มีสีสันหลงเหลือแล้วครับ แต่ถ้าเป็นแถวๆเมือง Wiseman/Coldfoot นี้กำลังสวยเลย
จุดนี้อยู่ก่อนข้าม Pass ยังพอเห็นสีสันอยู่บ้าง
พอข้าม pass แล้วมีแต่สีขาว และใบไม้ส่วนใหญ่ก็เป็นสีน้ำตาลหมดแล้ว คงเพิ่งมีหิมะหนักๆตกมาไม่นาน
สำหรับฤดูหนาว สิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยากมาที่นี่ก็คือ การได้ภาพแสงเหนือคู่กับภูเขาสุดอลังการ แต่ขอบอกเลยว่าต้องเตรียมตัวให้ดีมากๆนะครับ เพราะอากาศตอนกลางคืนมันหนาวสุดขั้วจริงๆ ผมโดนไป -53 องศาเซลเซียส เป็นอากาศหนาวที่สุดที่เคยเจอมาทั้งชีวิต มันหนาวจนเกินคำว่าหนาวไปไกลมาก มากจริงๆ
แสงเหนือคืนนั้น ก็สวยที่สุดที่เคยเห็นมาทั้งชีวิตเช่นกัน ถ่ายกันจนต้องร้องขอชีวิต แบตที่เตรียมมา 5 ก้อน หมดเกลี้ยง อาจจะเพราะอากาศหนาวด้วย ทำให้แบตหมดเร็วมากๆ
แต่ถ้าไม่อยากมาเจออากาศหนาวจัดๆ แนะนำให้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีครับ ก็เห็นแสงเหนือได้เช่นกัน แต่ที่นี่จะมืดช้าหน่อย ประมาณสองสามทุ่มในช่วงปลายเดือนสิงหา ฉะนั้นกว่าจะมืดสนิทให้เห็นแสงเหนือได้ก็เกือบๆห้าทุ่มเที่ยงคืน อย่างภาพด้านล่างนี้สังเกตว่ายังมีแสงอยู่ปลายขอบฟ้า
แสงเหนือจากแถวๆ Sukakpak Mountain ก่อนถึง Atigun Pass คืนนั้นอยู่ๆแสงเหนือก็มา ก็เลยหาที่จอดรายทางง่ายๆ เอา foreground เป็นลำธาร
North Slope
ขับต่อจาก Atigun Pass มา พอออกนอกเขตภูเขา ก็จะเป็นที่โล่ง โล่งแบบโล่งมากๆ บริเวณนี้คือ North Slope เป็นที่ราบกว้างใหญ่มากๆทางตอนเหนือของอลาสก้า และที่นี่มีฝูงกวางคาริบูเยอะครับ แต่เราไม่เจอสักตัว
ไกลสุดที่เราเคยขับไป ก็อยู่ที่ Toolik Lake (milepost 284) รอบนั้นมาหน้าร้อน แถวๆนั้นเริ่มเป็นที่โล่งหมดแล้ว ไม่มีวิวอะไร และหมอกก็มา เราก็เลยตัดสินใจวกกลับ ไม่งั้นขับต่อไปอีกคงถึง Arctic Ocean 5555
Toolik Lake สมัยตอนเที่ยวเมื่อสิบปีก่อน เจอป้ายอะไร ถ่ายหมด 55 สังเกตบนหลังคารถเรามียางสำรองและน้ำมันสำรองด้วย
บทสรุป
Dalton Highway เป็นถนนที่ผมยกให้เป็นถนนที่วิวสวย และขับรถสนุกที่สุดในอลาสก้า มันได้ความรู้สึก into the wild เหมือนได้ผจญภัย ต้องมีการวางแผนทั้งเรื่องน้ำมัน และยางสำรอง แม้ว่าวิวภูเขาจะไม่ได้อลังการสุดๆ แต่ถ้านับภูเขาในแถวๆ Fairbanks และสามารถขับรถไปได้ แล้วทีนี่ก็ถือว่าสวยที่สุดแล้ว ถ้าไม่ชอบจริงๆผมคงไม่มาถึง 3 รอบครับ 555 แต่ถ้าจะมาถนนเส้นนี้ควรมีเพื่อนขับรถเปลี่ยนกันอย่างน้อย 2-3 คน จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป และแวะนอนสัก 1-2 คืน แนะนำให้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ปลายเดือนสิงหาคม และจะพบว่า ใบไม้เปลี่ยนสีที่อลาสก้านี้สวย และไม่เหมือนใคร
ถ้ามีโอกาสมาอลาสก้า แนะนำให้มาเที่ยวขับรถบนถนน Dalton Highway สายนี้ครับ Highly Recommended ถ้ามีโอกาสผมก็อยากกลับไปอีกเช่นกัน
ภาพคู่ที่ป้าย Arctic Circle ปี 2015
มาหน้าหนาว พอเปิดขวดน้ำอัดลมแล้วกลายเป็นน้ำแข็งจะแข็งทันทีเลย เป็นอะไรที่สนุกดี เพราะตอนที่ปิดขวดอยู่ยังมีความดัน และน้ำไม่แข็งตัว แต่พอเปิดขวดปุ๊บ อุณหภูมิมันเย็นอยู่แล้ว น้ำอัดลมก็เลยแข็งทันที
ถ้าเป็นโค้กนี้ผมคงเล่นมุกไปแล้ว 555
You must be logged in to post a comment.