เวลาผมบอกคนรู้จักว่ากำลังจะไปอิตาลี คนก็จะนึกแต่เมืองต่างๆเช่น มิลาน โรม เป็นต้น แต่พอบอกว่าจะไปเที่ยวภูเขา หลายๆคนก็นึกไม่ออกว่าอิตาลีมีภูเขาที่สวยๆด้วยเหรอ ผมขอนั่งยัน ยืนยัน นอนยันเลยครับว่าภูเขาที่นี่สวยจริงๆ ภูเขาในอิตาลีที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้คือแนวเทือกเขาที่เรียกรวมๆว่า Dolomite อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลีในเขต South Tyrol อยู่ติดกับประเทศออสเตรีย ผมยกให้เป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลกอันดับสามเลย จากการจัดอันดับของตัวผมเองด้วยการไปเห็นมาด้วยตาตัวเองทั้งชีวิต (อันดับหนึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นพาตาโกเนีย อันดับสองผมให้ Tombstone ที่ Yukon ครับ) ความเห็นส่วนตัวผมว่าที่นี่สวยกว่าสวิสเซอร์แลนด์ซะอีก ถ้าไม่นับ Matterhorn ซึ่งเป็นจุดขายแบบ the must ของเทือกเขาสวิสแล้ว ภูเขาสวิสไม่มีอะไรที่สวยสู้ Dolomite ของอิตาลีได้เลย
คำว่า Dolomite ตอนแรกผมก็อ่านตามตัวไปง่ายๆว่าโดโลไมท์ แต่จริงๆแล้วคนอิตาลีจะอ่านว่า “โดโลมิติ” คล้ายกับชื่อ Yosemite เราไม่ได้อ่านว่าโยเซไมท์ แต่ต้องอ่านว่า “โยเซมิติ” นั่นเองครับ จากการที่ถามคนอิตาลีหลายคน เค้าบอกว่าจริงๆแล้วก็อ่านได้หลายแบบ คนอิตาลีเรียกโดโลมิติ บางทีสะกดว่า Dolomiti ด้วยซ้ำไป ถ้าภาษาอังกฤษทั่วๆไปบางครั้งก็มีคนอ่านเป็นโดโลไมท์เหมือนกัน ส่วนคนเยอรมันจะอ่านว่าโดโลมิท สรุปคือ โดโลมิติ โดโลไมท์ โดโลมิท ถูกหมด อ่านอะไรก็อ่านได้ แต่ถ้าอยากอ่านแบบคนอิตาลี ก็เรียก “โดโลมิติ” นะครับ 555
Dolomites นี้มีมุมถ่ายรูปเยอะมากๆๆๆ ทริปผมค่อนข้างสั้น ผมไปมาช่วงวันหยุดเข้าพรรษา มีเวลาแค่ 4 วัน 3 คืนก็เก็บไม่หมดแน่นอน ถ้าจะจัดเต็มไปให้ครบจุดหลักๆ ต้องสัก 1 อาทิตย์ขึ้นไป เผื่อเรื่องอากาศอีก จัดไปเลยสัก 10 วันกำลังดีครับ
บริเวณหลักๆของ Dolomite จะแบ่งเป็นสองด้านคือด้านตะวันตกและตะวันออก ทางตะวันตกก็จะมี Odle mountain group เป็นจุดขาย เมืองใหญ่ในบริเวณนี้คือ Bolzano และมีเมืองเล็กๆอีกหลายเมือง เช่น Ortisei ส่วนทางตะวันออกจะ base หลักอยู่ที่เมือง Cortina d’Ampezzo ผมก็เรียกสั้นๆว่า Cortina ครับ ภูเขาหลักของฝั่งตะวันออกก็คือ Tre Cime ซึ่งเป็นภูเขาสามยอดนั่นเอง
When to go
ผมเองยังไม่ได้ไปครบทุกฤดูกาล เลยยังตอบไม่ได้ว่าฤดูไหนอากาศดีที่สุด แต่เท่าที่หาข้อมูลมา ช่วงที่อากาศจะดีที่สุดคือเดือนกรกฏาคมถึงสิงหาคม หิมะละลายเกือบหมดแล้ว และเป็นช่วง high season ของที่นี่ ที่ว่าอากาศดีนี่โดยรวมอากาศดีนะครับ แต่โอกาสที่ฝนตกก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะเวลาพายุเข้าทั้งยุโรป Dolomite ก็ไม่รอดแน่นอน 555 และตามสไตล์อากาศของแถบภูเขาสูง กักเก็บละอองฝน ฉะนั้นไม่แปลกใจเลยถ้าเห็นส่วนอื่นๆของอิตาลีฟ้าใส แต่ที่นี่ยังมีเมฆอยู่ประปราย และอากาศก็เปลี่ยนง่าย ตอนเช้าฟ้าใส พอตอนบ่ายอาจจะมีเมฆฝนได้ เป็นเรื่องปกติครับ
แต่ถ้ามาปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน บางจุดอาจจะต้องลุยหิมะเข้าไป เดินลำบาก และบนภูเขายังหนาวมากอยู่ ผมไม่ค่อยแนะนำ
สำหรับใบไม้เปลี่ยนสี จะอยู่ช่วงกลางเดือนตุลาคมครับ หลายๆจุดใน Dolomite ก็มีใบไม้สวยๆเหมือนกัน (ยกเว้น Tre Cime กับ Seceda ซึ่งมีแต่ภูเขาหินกับทุ่งหญ้า)
การเดินทาง
การเช่ารถขับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเที่ยวรอบๆ Dolomite เพราะว่าจุดชมวิวทั้งหมดนั้นไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเลย แม้ว่าที่นี่จะมีรถบัสไปได้แทบทุกที่ ไปได้แม้กระทั่ง Tre Cime trailhead 555 แต่การเช่ารถขับก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะให้ความยืดหยุ่นในการเดินทางที่มากกว่า การเช่ารถก็ตั้งต้นจากสนามบินได้ สนามบินที่ใกล้ที่สุดคือ Innsbruck (ขับรถ 2 ชั่วโมง) รองลงมาคือ Venice (ขับรถ 2-3 ชั่วโมง), Munich (ขับรถ 3-4 ชั่วโมง), มิลาน (ขับรถ 5 ชั่วโมง) และ Zurich (ขับรถ 5 ชั่วโมงครึ่ง) ในทริปนี้ผมบินไปลง Zurich เพราะได้ราคาตั๋วถูกกว่าที่อื่นๆมากครับ เมื่อคิดรวมต้นทุนค่าตั๋วเครื่องบินของหลายๆคนรวมกันแล้วก็คุ้มค่าที่จะบินลง Zurich มากกว่า แม้ว่าจะต้องขับรถไกลกว่ามาก และค่าเช่ารถที่ Zurich ก็ยังสูงกว่าที่อื่นๆด้วย ตอนแรกจะตัดสินใจบินไปลง Munich แต่ซื้อดีลของการบินไทยไม่ทัน 555 ซึ่งก็เหมือนจะโชคดี เพราะหลังจากที่ผมกลับไม่ถึงอาทิตย์ก็มีเหตุยิงกันที่มิวนิคซะอย่างนั้นนนนน อ้อ รถเช่าที่นี่มีเกียร์กระปุกซะส่วนใหญ่ เกียร์ออโต้ก็มีแต่ราคาโดยรวมจะแพงกว่าเมื่อเทียบรถรุ่นเดียวกันครับ
ถนนทุกเส้นในเขต Dolomite นั้นทางดีมากๆครับ ถนนเส้นหลักจะขับง่ายกว่า ทำความเร็วได้มากกว่า ส่วนถนนสายเล็กๆที่เชื่อมระหว่างเมืองในภูเขานั้นเรียกว่าขับโคตรยาก เพราะถนนแคบมาก ความกว้างน้อยกว่า 2 เลน แต่รถต้องวิ่งสวนกัน และบางครั้งก็ต้องขับหลบจักรยาน และขับหลบรถเมล์คันใหญ่อีกด้วย คนขับรถเมล์ที่นี่ขับรถเก่งมากๆ ขับขึ้นภูเขาได้อย่างโหด เข้าโค้งเรียกพี่เลย 555
รถไฟก็เป็นอีกตัวเลือกนึง สามารถดูแผนที่รถไฟว่าไปเมืองไหนบ้างได้ที่ Italy Rail website ซึ่งแน่นอนว่าเมืองหลักก็คือ Bolzano ส่วน Cortina d’Ampezzo นั้นไม่มีรถไฟไปถึงครับ ต้องลงที่ San Candido หรือ Calalzo แทน
ที่พัก
แถบ Dolomite มีโรงแรมเยอะมากๆ สามารถจองจาก Booking.com ก็ได้ ถ้ามากลุ่มไม่ใหญ่นัก สามารถ walk-in หาโรงแรมเอาตามเมืองใหญ่ๆได้เลย ส่วนทริปที่ผ่านมาผมนอนเตนท์ตาม campsite ซึ่งมีอยู่เยอะหลายที่ในบริเวณนี้ และก็นอน Rifugio เป็นหลักครับ Rifugio ไม่ใช่ค่ายอพยพนะครับ มันคือที่พักทั่วๆไป เหมือนเป็นที่พักของนักเดินทาง ออกแนว mountain hut ซะมากกว่า ค่ากางเตนท์จะตกคนละ 10-15 euro ส่วน rifugio ก็จะตกราวๆคนละ 20-25 euro ครับ ถ้ามาหลายคน นอนโรงแรมอาจจะคุ้มค่าและสะดวกสบายมากกว่า
จุดถ่ายภาพ
Dolomite นี้ใครที่ไม่ฟิตก็มาได้นะครับ เพราะร้อยละ 90 ของจุดถ่ายภาพนั้นรถถึงครับ ก้าวเท้าออกมาจากรถก็ถ่ายภาพได้เลย มีแค่บริเวณ Tre Cime และอีกสองสามจุดที่ต้องเดินอีกนิดนึงครับ ผมแบ่งเป็นโซนด้านตะวันตกและตะวันออกเช่นเดิม
ด้านตะวันตก
Seceda
จุดชมวิวของ Odle group (หรือในอีกชื่อนึงคือ Geisler group) ซึ่งเป็นกลุ่มของยอดเขาแหลมเหมือนฟันฉลาม เป็นที่ที่ทุกคนต้องมาเยือน มียอดเขาหลักคือ Sass Rigais และ Furchetta ทั้งสองยอดสูง 3025 เมตรเท่ากัน การเดินทางง่ายมาก ตั้งต้นจากเมือง Ortisei นั่งกระเช้าสองต่อคือ Ortisei – Furnes และ Furnes – Seceda ไปกลับคนละ 29.80 euro รายละเอียดเพิ่มเติม หรือมีอีกทางเลือกนึงคือนั่งกระเช้าเส้น Col Raiser ไปกลับ 18 euro แล้วเดินต่อไปขึ้นสกีลิฟท์เส้น Fermeda (มีแต่ที่นั่ง ไม่มีประตู) ไปกลับคนละ 12 euro โดยกระเช้าเปิดทำการตั้งแต่ 8.30 – 17.30 โดยประมาณ เปิดกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนตุลาคม หน้าหนาวไม่เปิดให้บริการ และสกีลิฟต์เปิดทำการ 9.30-16.30 เปิดแค่ถึงกลางเดือนกันยายน หน้าสกีอาจจะเปิด อันนี้ผมไม่แน่ใจครับ ด้านบนมีร้านอาหารที่สถานีกระเช้า และมีร้าน Baita Sofie ที่ผมไปลองมาแล้ว อาหารอร่อยมากกกกกกก คุ้มค่าคุ้มราคา แค่ดูวิวก็คุ้มแล้วเนื่องจากกระเช้าจะเปิดหลังพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนพระอาทิตย์ตก ฉะนั้นถ้าอยากได้แสงเช้าและแสงเย็น ต้องขึ้นไปค้างข้างบน ซึ่งมีที่พักคือ Rifugio Troier และ Berghaus Fermeda แต่จะเดินไกลและขึ้นเนินมากหน่อย ผมเองไม่ซีเรียสกับการต้องนอนเป็นที่เป็นทาง ก็เลยปูเสื่อ นอนในถุงนอนตรงสถานีกระเช้า ผมไปถามที่ร้าน Baita Sofie เค้ากำลังจะ renovate ตึก ทำเป็นห้องพักสำหรับ 4-6 คน มีสองห้อง คาดว่าจะเปิดช่วงหน้าหนาวของปี 2016-2017 นี้ครับข้อดีของการเที่ยวถ่ายภาพในยุโรปคือหลายๆที่จะมี webcam ให้เราดูสภาพล่าสุด ซึ่งช่วยในการวางแผนการเดินทางได้ดีทีเดียว สามารถเชคได้ว่าอากาศดีไหม มีหมอกไหม เป็นต้น สำหรับ webcam ของ Seceda ดูภาพย้อนหลังได้ด้วย เจ๋งมากๆ นอกจากนี้ยังมี webcam ของ Col Raiser ด้วย
GPS 46.600642, 11.727544 จุดนี้ถ่ายได้ทั้งแสงเช้าและแสงเย็น แสงเช้าจะย้อนแสง แสงเย็นจะได้แสงเฉียงไปทางด้านหลังซ้าย 45 องศา แถมยังเห็น Alpe di Suisi อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย เอาเลนส์ normal ส่องสบายๆ
ภาพพระอาทิตย์ตกจาก Paul Ruji Photography
Santa Magdalena
จุดชมวิวที่มองเห็น Odle group เช่นกัน แต่เป็นมุมด้านล่าง รถถึงเลย ไม่ต้องเดิน ถ่ายเลนส์ normal เห็นโบสถ์และตัวเมือง Funes ได้อย่างสบายๆ แต่ที่จอดรถจะน้อยหน่อย ถนนแคบ ต้องพยายามจอดหลบๆข้างทาง และมี webcam ให้ดูด้วย
GPS 46.64861, 11.71527 แสงเย็นจะได้แสงฉาบภูเขา แต่แสงเช้าก็น่าสนใจครับ
Santa Magdalena มุมสูง
San Giovanni Church
โบสถ์ที่ดังมากๆจากรูปของ Max Rive เพราะตัวโบสถ์ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าในเมือง Funes (อ่านว่าฟูเนส) และมีภูเขาอลังการอยู่เป็นฉากหลัง ซึ่งก็คือ Odle group เจ้าเก่าของเรานี่เอง (ถ่ายได้หลายมุมมาก) หากฟิตหน่อย ให้เดิน 4 กิโล ขึ้นไปถ่ายภาพที่ Gschnagenhardt-Alm จะได้มุมเปิดกว่า และใกล้ภูเขามากกว่า รอบๆเมือง Funes มีโรงแรมเยอะ หากมาถ่ายแสงเย็นที่นี่ก็หาที่พักได้ไม่ยาก หรือจะพักใกล้กับ Alpe di Suisi ก็ได้เช่นกัน
GPS พิกัดของตัวโบสถ์คือ 46.635005, 11.724259 แต่ต้องถ่ายจากริมถนนก่อนถึงตัวโบสถ์
ถ้าอยากได้โบสถ์มุมสูงให้ขับรถขึ้นไปที่พิกัดนี้ 46.639450, 11.723195 มุมนี้ผมแนะนำแสงเย็น ลักษณะเหมือนๆกับ Santa Magdalena แต่ถ้าถ่ายใกล้ตัวโบสถ์ แสงเช้าจะไม่ค่อยสวยเพราะมุมอยู่ต่ำเกินไป มีภูเขาสูงล้อมรอบด้าน
San Giovannni Church
Alpe di Siusi
หรือที่เรียกกันในอีกชื่อว่า Seiser Alm โดย Alpe di Siusi เป็นภูเขาสวยอีกที่นึงในบริเวณตะวันตกนี้ เป็นภูเขาแหลมสองลูก มีทุ่งหญ้าสวยๆเหมือนสนามกอล์ฟเป็นฉากหน้า อยู่ไม่ไกลจากเมือง Siusi Seis ซึ่งถ้ามาแถวๆนี้ผมแนะนำให้พักที่ Siusi Seis เพราะจะเดินทางง่ายหน่อย ขับรถไป Funes ประมาณ 45 นาที และขับไป Alpe di Suisi 25 นาที จุดนี้เป็นอีกจุดที่เดินทางสะดวกมาก รถถึง จอดรถ ก้าวลงมาถ่ายภาพได้เลยมี webcam ของ Seiser Alm ซึ่งทำไว้ดีทีเดียว นอกจาก Alpe di Suisi ยังมีมุมอื่นๆให้ดูได้อีกหลายจุดในบริเวณรอบๆเมือง Siusi
GPS 46.55326, 11.65705 เหมาะสำหรับแสงเช้า จะได้แสงข้าง
Alpe di Siusi
จุดถ่ายภาพอีกสามจุดสำหรับฝั่งตะวันตกด้านล่างนี้ผมผมได้แพลน ทำการบ้านไว้ก่อนว่าน่าสนใจ น่าแวะ แต่สุดท้ายไม่มีโอกาสได้แวะ เลยไม่มีข้อมูลเจาะลึกมาฝากกัน
Sass de Putia (Peitlerkofel) ภูเขาสวยอีกลูกนึงในเขตนี้ แต่เส้นทางไปค่อนข้างฉีกออกไปจากจุดอื่นๆ ผมเลยไม่ได้แวะไป
Rifugio Re Alberto Primo เป็นที่พักที่ตั้งอยู่กลางภูเขา ฉากหลังเป็นยอด Vajolet Towers สุดอลังการ
Gardena Pass หากวิ่งจาก Ortisei ไป Cortina d’Ampezzo จะผ่าน Gardena Pass อยู่ไม่ไกลจาก Ortisei แต่ผมไม่มีเวลาเลยไม่ได้มีโอกาสแวะ ยังมีอีก pass นึงที่อยู่ใกล้กับ Gardena Pass คือ Pordoi Pass ซึ่งก็น่าสนใจเหมือนกัน
ด้านตะวันออก
Tre Cime
Tre Cime เป็นภาษาอิตาลี อ่านว่า เตร ซิเม่ แปลตรงคือก็คือยอดเขาสามยอดนั่นเอง มีชื่อเต็มๆคือ Tre Cime di Lavaredo ถ้าเป็นคนเยอรมันจะเรียกภูเขาลูกนี้ว่า Drei Zinnen หากได้ยินสองชื่อนี้ มันคือที่เดียวกันครับ ภูเขาสามยอดนี้คือ Cima Grande ลูกกลาง สูง 2,999 เมตร ส่วนลูกซ้ายขวาคือ Cima Piccola 2,857 เมตร และ Cima Ovest สูง 2,973 เมตร สำหรับ dolomite ทางฝั่งตะวันตก Tre Cime นี่แหละครับเป็นภูเขาที่เจ๋งที่สุดและอลังการที่สุดในใจผม และเป็นภูเขาที่ทำให้ผมอยากมาที่นี่ อยากมาเห็นความอลังการของแท่งหินสามแท่งสักครั้งในชีวิตมุมถ่ายภาพนั้นสามารถถ่ายได้หลายจุดมากๆ เรียกได้ว่ารอบทิศ (ยกเว้นด้านใต้)
การเดินทาง ถ้าตั้งต้นจาก Lake Misurina จ่ายค่าเข้าอุทยาน สามารถขับรถขึ้นมาได้ถึง Rifugio Auronzo ที่ 2,333 เมตร ซึ่งก็ย่นระยะความสูงมาได้มาก โดยจุดถ่ายภาพหลักอยู่ที่ Rifugio Locatelli สูง 2,405 เมตร โดยต้องเดินข้ามสันเขานิดหน่อย พอเหนื่อย ระยะเวลาเดินจาก Rifugio Auronzo ไป Rifugio Locatelli ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง สามารถเดินกลับมานอนที่ Rifugio Auronzo หรือแม้กระทั่งขับรถลงไปนอนที่ Lake Misurina ก็ได้เช่นกัน แต่ผมแนะนำว่านอนที่ Rifugio Locatelli จะสะดวกที่สุด Rifugio Locatelli นั้นเปิดตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกันยายน จองได้ทางเวบไซท์ และสามารถยกเลิกได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมอะไร จ่ายเงินสดตอนเข้าพัก หากมีการเปลี่ยนแปลงการเดินทาง ทางที่พักขอความร่วมมือให้บอกเขาล่วงหน้าสัก 1-2 วันก็พอ ซึ่งก็สะดวกและยืดหยุ่นมาก
จุดถ่ายภาพรอบ Tre Cime หลักๆจะมีอยู่ 3 แห่งคือ ทะเลสาบเล็กๆด้านตะวันตก ตรงจุดที่เดินข้ามสันเขาก่อนถึง Rifugio Locatelli และที่ Rifugio Locatelli ก็เป็นอีกจุดสุดท้ายที่ถ่ายภาพได้จากด้านหน้าที่พักเลย ฟินมากกกก ฉะนั้นผมก็แนะนำให้พักที่นี่เลยครับ สบายสุดๆๆ
สำหรับจุดแรกที่ทะเลสาบด้านตะวันตก ผมไม่ทราบชื่อทะเลสาบเหมือนกัน พิกัด GPS 46.624632, 12.289957 อยู่ใกล้ๆ Malga Langalm มุมนี้ถ่ายแสงเย็นสวยมาก เพราะแสงจะฉาบด้านตะวันตกของภูเขาพอดี และตัวทะเลสาบอยู่ในหุบ ทำให้ไม่มีลม และเห็นเงาสะท้อนได้ง่าย จาก Rifugio Auronzo เดินมาที่จุดนี้ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเศษๆเท่านั้น แต่เดินคนละเส้นกับทางไป Rifugio Locatelli ซึ่งถ้าเดินต่อไปก็สามารถไปบรรจบกับ Rifugio Locatelli หรือแม้กระทั่งเดินเป็น loop วงกลมได้
Tre Cime จากทะเลสาบเล็กๆ (จุดแรก)
จุดที่สอง อยู่ตรงสันเขา ที่จุดนี้จะเห็น Tre Cime จากมุมด้านข้าง ผมเองไม่มีภาพที่ดีเท่าไหร่จากจุดนี้ เพราะไม่ได้มารอแสงที่นี่ การเดินทางคร่าวๆ เราจะเดินจาก Rifugio Auronzo ผ่าน Rifugio Lavaredo (30 นาที) จะเริ่มเป็นทางขึ้นเนินไปที่สันเขา และถ้าเลยจากจุดนี้ไปก็จะลงเนินไปต่อเพื่อไปสู่ Rifugio Locatelli แต่ไม่ได้เดินลงอย่างเดียวนะครับ มีขึ้นๆลงๆไปเรื่อยๆ ฮาาาา และถ้ามาถึงสันเขา ผมแนะนำว่าให้เดินขึ้นไปบนภูเขาด้านหลังจะได้มุมสวยกว่า พิกัด 46.623630, 12.314575 ที่จุดนี้เหมาะสำหรับแสงเย็น หรือถ่ายดาว สามารถมองเห็นภูเขา Cadini di Misurina ที่เป็นกลุ่มของยอดเขาหยักๆ ถ้าเดินมาจาก Rifugio Auronzo จะเห็นภูเขากลุ่มนี้มาตลอดเส้นทาง แต่ผมคิดว่าถ่ายจากสันเขาจะดีที่สุด เพราะเห็นได้ชัดเจนที่สุดครับ
จุดสุดท้ายที่ Rifugio Locatelli ที่นี่มีมุมถ่ายภาพเยอะมาก จะถ่ายจากหน้าที่พักก็ได้ หรือเดินต่อไปหน่อยเพื่อเก็บโบสถ์เล็กๆเข้ามาในเฟรม หรือเดินขึ้นภูเขาที่อยู่ด้านหลังเพื่อเก็บภาพมุมสูง ซึ่งจากมุมนี้จะเก็บภาพพาโนรามาได้สวยมาก ด้านบนมีถ้ำเล็กๆอยู่สามถ้ำให้เข้าไปถ่ายภาพเล่นด้วย พิกัด 46.638207, 12.309402
ภาพพาโนรามาจากมือถือ จุดที่สาม
ถ้ำเล็กๆที่มุมน่าสนใจมาก
Mount Paterno
Mount Paterno หรือในภาษาเยอรมันเรียกว่า Paternkofel คือภูเขาแหลมหยักๆที่เห็นได้จาก Rifugio Locatelli ลูกซ้ายมือในภาพบนนั่นเอง จุดถ่ายภาพที่นิยมจะอยู่ที่ทะเลสาบด้านล่างชื่อ Laghi del Piani ตรงนี้จะมีสองทะเลสาบติดกัน มุมสวยกว่าอยู่ที่ทะเลสาบที่มีเกาะอยู่ตรงกลาง (อันที่ไกลจาก Rifugio Locatelli มากกว่า) คำเตือน บริเวณริมทะเลสาบ ดินยวบมาก ลื่นมาก และเปียกแฉะมาก ต้องเดินระวังครับ ไม่อย่างนั้นจะเสียรองเท้าไปหนึ่งคู่แน่นอน 55
GPS 46.639306, 12.315285สำหรับ webcam ของ Tre Cime และ Mount Paternoให้เชคจากเวบของ Rifugio Locatelli
Paternkofel
Lake Misurina
ทะเลสาบที่อยู่บริเวณด้านล่าง ตรงทางแยกไปอุทยาน Tre Cime ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาเยอะมาก โดยเฉพาะช่วงกลางวัน แต่วิวที่สวยจะเป็นแสงเช้าและเย็น ซึ่งถ้าได้ reflection ของภูเขากับทะเลสาบแล้วล่ะก็จะฟินแน่นอน ผมแวะไปที่นี่ช่วงกลางวัน ลมแรง ไม่มีเงาสะท้อนน้ำ เลยไม่มีภาพสวยๆมาฝากกัน
GPS 46.583871, 12.254941
Lago di Braies
ทะเลสาบน้ำสีฟ้าเขียว มีอีกชื่อว่า Prager Wildsee การเดินทางสะดวกมากๆ อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ ถ้ามาช่วงกลางวันนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก ผมมาช่วงกลางวันอีกเช่นกัน คนเยอะมาก เยอะขนาดที่ว่าที่จอดรถที่มีไม่มีเพียงพอ ไม่นึกเลยว่านักท่องเที่ยวที่ Dolomite จะเยอะขนาดนี้ แนะนำว่ามาถ่ายแสงเช้าจะเหมาะกว่ามาก และยังไม่มีคนอีกด้วย ถ้าเดินจากที่จอดรถ ผ่านโรงแรมไป ตรงไปที่ริมทะเลสาบ จะมีท่าเรือเล็กๆให้เดินเล่นและถ่ายภาพได้
GPS 46.698524, 12.085706
สำหรับจุดถ่ายภาพสามแห่งด้านล่างนี้ผมไม่มีโอกาสได้ไป ผมได้หาข้อมูลไว้บางส่วนแล้ว แต่ก็ขอนำเอามารวมไว้ในที่เดียวกันเลยครับ
Lago di Sorapis ทะเลสาบสี turquoise เป็นจุดที่ช่างภาพนิยมมาถ่ายแสงเช้ากันมาก ตอนเช้าจะเห็นแสงแรกฉากบนภูเขา Punta Sorapiss ซึ่งสูง 3205 เมตร สะท้อนกับน้ำสีฟ้าของทะเลสาบจาก trailhead ไม่ไกลจาก Passo Tre Croci ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงกับระยะทาง 5.6 km ขาเดียว ใกล้กับทะเลสาบมีที่พักชื่อ Rifugio Vandelli ซึ่งถ้ามาพักที่นี่จะสะดวกกับการมาถ่ายแสงเช้ามากกว่า
Lago Fedèra ทะเลสาบที่ช่างภาพหลายคนนิยมมาถ่ายภูเขารูปทรงแปลกตาที่ชื่อ Becco di Mezzodì (2603 m) ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณกลางเดือนตุลาคม ป่าไม้รอบๆจะเปลี่ยนเป็นสีส้มเหลือง สวยงามมาก
Cinque Torri หรือเรียกง่ายๆว่า 5 Torri อยู่ไม่ไกลจาก Cortina d’Ampezzo จุดนี้ผมยังไม่ได้ไป แต่การเดินทางง่ายมาก สามารถนั่งสกีลิฟต์ขึ้นไปแล้วถึงจุดถ่ายภาพเลย รายละเอียด ด้านบนมีที่พักชื่อ Rifugio Scoiattoli คนละ 60 euro ต่อคืน และในเวบของที่พักก็มี webcam ให้ดูด้วย
Giau Pass จุดชมวิวที่อยู่บน mountain pass สูงกว่า 2236 เมตร เห็นวิวรอบด้าน 360 องศา ภาพที่ถ่ายบ่อยมากเป็นมุมทางด้านทิศเหนือ เห็นทุ่งหญ้ากับภูเขารูปทรงสามเหลี่ยม จากจุดนี้ไม่ไกลจาก Cinque Torri แต่ถ้าขับรถจะต้องอ้อมไปทาง Cortina d’Ampezzo แล้ววกขึ้นมาใหม่
แถมพิกัดด้านใต้อีก 2 แห่ง
Baita Segantini (Rolle Pass)
ผมแวะที่นี่ก่อนกลับพอดี จริงๆแล้วผมมาถึง Rolle Pass ตั้งแต่บ่าย แต่ก็พบว่าไม่สามารถขับรถขึ้นไปที่ Baita Segantini ได้ สอบถามทาง park ranger ก็ได้ความว่าถนนปิดไม่ให้รถส่วนบุคคลเข้า ตอนแรกกะว่าต้องทำใจเดินขึ้นเสียแล้ว แต่ถามไปถามมาก็ทราบมาว่าหลังหกโมงเย็นสามารถขับรถขึ้นไปได้ ที่นี่เหมาะสำหรับถ่ายแสงเย็น จะได้แสงฉาบภูเขายอดแหลมทั้งสามยอดพอดี ซึ่งภูเขาสามยอดนี้เป็นยอดที่แหลมอลังการมากๆ โดยเฉพาะลูกขวาสุดที่ชื่อ Cimon della Pala (3184 เมตร) มีชื่อเรียกกันเล่นๆว่าเป็น The Matterhorn of the Dolomites เลยทีเดียว ต้องมาชมสักครั้งครับ โดยนั้นอยู่ในกลุ่มภูเขาที่ชื่อ Pale di San Martino มียอดที่สูงที่สุดคือ Vezzana (3192 เมตร)เสียดายว่าตอนที่ผมมานั้นอากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่นัก
จุดถ่ายภาพอยู่ตรงริมทะเลสาบเล็กๆที่อยู่ข้างๆโรงแรม Baita Segantini ซึ่งก็เป็นที่พักที่วิวเด็ดมากจริงๆ
GPS 46.298331, 11.803851
Cimon della Pala ถ่ายจาก Rolle Pass
Baita Segantini ถ้าเมฆไม่เยอะจะงามมากๆครับ ผมยังโชคไม่ดีพอ ลมแรง น้ำไม่นิ่งด้วย
Lago di Carezza
หรืออีกชื่อคือ Karersee ทะเลสาบที่อยู่ทางใต้ของ dolomite area ค่อนข้างฉีกจากบริเวณอื่นๆ แต่ก็เป็นอีกมุมนึงที่ฮิตกันมาก ผมเลือกที่จะไปถ่ายแสงเย็นที่ Baita Segantini ก็เลยต้องจำใจตัด Lago di Carezza ออกไปครับ
สำหรับ Dolomite ที่ผมไปมา 4 วัน 3 คืนก็มีประมาณเท่านี้ครับ คงต้องหาโอกาสกลับไปซ่อมอีกสักหลายๆครั้งเลย ภูเขาที่นี่สวยประทับใจมากๆ
Special thanks to Beboy Photography for his great blog that contains a lot of useful information!
You must be logged in to post a comment.