ใน blog นี้จะพาลุยน้ำตกที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกกันครับ นั้นคือ Iguazu Falls หรือนำ้ตกอิกวาซู เป็นน้ำตกที่ใหญ่มากๆติดอันดับต้นๆของโลก เกิดจากแม่น้ำ Iguazu ทั้งสายตกลงมาบนหน้าผาที่เป็นรูปเกือกม้าที่มีความยาวรวมๆเกือบหนึ่งกิโลเมตร เกิดเป็นสายน้ำน้อยใหญ่มากมายถึง 284 น้ำตก แม้ว่าน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดจะคือน้ำตกคอนพะเพ็งที่ประเทศลาว เพราะคอนพะเพ็งนั้นมีความกว้างเท่ากับแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ทั้งสาย แต่น้ำตกอิกวาซูก็ถือว่าดังกว่า เพราะด้วยความสวยงาม และความสูงของน้ำตกเอง ปริมาณน้ำที่ไหลต่อวินาทีนั้นมหาศาล และเมื่อตกลงไปจากหน้าผาสูงชัน ทำให้น้ำตกแห่งนี้มีพลังมากๆ ยอมรับว่ามากจริงๆ บริเวณที่เป็นรูปเกือกม้านั้นแทบมีละอองน้ำปลิวออกมาเหมือนมีควันอยู่ตลอดเวลา
ตัวน้ำตกนั้นตั้งอยู่รอยต่อของประเทศอาร์เจนตินาและบราซิล แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากประเทศปารากวัยเช่นกัน เพราะแม่น้ำอิกวาซูซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกนี้ก็จะไหลรวมไปบรรจบกับแม่น้ำอีกสายตรงรอยต่อของสามประเทศ นั่นแปลว่าถ้าคุณมาเที่ยวอิกวาซู ก็จะมีทัวร์แบบเที่ยวสามประเทศให้เลือก แต่ประเทศปารากวัยนั้นก็ไม่เป็นที่นิยมเท่ากับบราซิลและอาร์เจนตินา ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่ไปปารากวัยก็จะไปเดินเล่นซื้อของเสียมากกว่า ตัวน้ำตกทั้งสองฝั่งนั้นก็อยู่ในอุทยานแห่งชาติของทั้งสองประเทศ มีการบริหารจัดการที่แยกกันเด็ดขาด รวมไปถึงเก็บค่าเข้าชมแยกกันด้วยครับ 555 ถ้าจะเที่ยวทั้งสองฝั่งก็จ่ายสองเด้งเลยทีเดียว ข้อดีของคนไทยก็คือเราไม่ต้องใช้วีซ่าใดๆในการเดินทางระหว่างสามประเทศนี้เลย สามารถถือพาสปอร์ตเดินทางข้ามประเทศได้อย่างสะดวกสบาย ขนาดคนอเมริกันยังต้องเสียค่าวีซ่าถึง 160 เหรียญสหรัฐ สำหรับฝั่งบราซิล และเก็จ่ายอีก $160 สำหรับฝั่งอาร์เจนตินา
หากต้องการเที่ยวชมน้ำตกอีกวาซูได้ครบทั้งสองฝั่ง ผมแนะนำว่าควรมีเวลาสองวันครับ ตัวน้ำตกนั้นจะอยู่ในฝั่งอาร์เจนตินาเสียเป็นส่วนใหญ่ นึกภาพเวลาเราชมน้ำตก เราก็ต้องหันหน้าเข้าหาน้ำตก ถึงจะเห็นม่านน้ำทั้งหมด ฉะนั้นฝั่งที่สวยกว่าก็คือฝั่งบราซิลครับ เพราะจะมองเห็นน้ำตกนับร้อยๆสายที่อยู่ฝั่งอาร์เจนตินาได้ชัดเจน ส่วนฝั่งอาร์เจนก็เหมือนเราได้ชมจากด้านบน และด้านข้างเท้านั้น จุดเด็ดของฝั่งอาร์เจนตินาคือเราสามารถเดินเข้าไปใกล้และเห็นสายน้ำเชี่ยวกรากกำลังไหลลงไปได้แบบใกล้ ใกล้มากๆจริงๆครับ มันมีพลังแบบสุดๆจริงๆ ฉะนั้นถ้าชอบความสวยงาม ก็ต้องฝั่งบราซิล และถ้าชอบอะไรที่ตื่นเต้น มีพลัง ต้องฝั่งอาร์เจนตินาเลยครับ
สำหรับการเดินทางนั้น สามารถเลือกมาได้ทั้งเครื่องบินและรถบัส หากใครมีเวลาเยอะก็สามารถเลือกนั่งรถบัสได้ ผมเองไม่ค่อยมีข้อมูลมากนัก หลักๆจะมีรถบัสเที่ยวกลางคืนมาจากทั้งเมืองใหญ่ในบราซิลอย่างริโอ และเซาเปาโล ส่วนฝั่งอาร์เจนตินาก็มีรถบัสกลางคืนจากบัวโนสไอเรสเช่นกัน แต่นั่งกันจนเมื่อยก้นแน่นอน
ทางเลือกที่ถูกกว่าจะเป็นการนั่งเครื่องบิน ซึ่งทั้งฝั่งอาร์เจนตินาและบราซิลก็มีสนามบินครับ ของฝั่งอาร์เจนตินาชื่อ Cataratas del Iguazú International Airport รหัสสนามบิน IGR ไฟลท์หลักๆนั้นจะมาจาก Buenes Aires (มีทั้ง EZE และ AEP) ผมเข้าในว่า IGR เป็นสนามบินในประเทศแต่ก็เห็นมีบินไป Rio de Janeiro ด้วยส่วนฝั่งบราซิลชื่อ Foz do Iguaçu International Airport รหัสสนามบิน IGU มีไฟลท์ในประเทศในบราซิล และไฟลท์จากเปรูด้วย ฉะนั้นถ้าจะจองมา Iguazu ต้องกรอกรหัสสนามบินตอนจองให้ดีๆนะครับ
เราเปลี่ยนเครื่องกันที่ลิม่า แวะดื่ม Inca Cola ของโปรดผม 55
ทริปของผมนั้นสั้นมากๆ ใช้เวลาทั้งหมดสามวันเท่านั้น 5555 โชคดีที่ได้ตั๋วถูกของ LAN บินไปกลับ LAX-IGU ในราคาห้าร้อยเหรียญต้นๆเท่านั้น ผมก็เลยจองแบบไม่ลังเลเลย การเดินทางของผมนั้นตั้งต้นจาก Los Angeles (LAX) คืนวันพฤหัส บินตรงไป Lima (LIM) ถึงประมาณสิบโมงเช้า และต่อเครื่องตอนเที่ยงกว่าๆไป IGU ที่ Lima นั้นผมไม่ต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองอะไรเลย แค่ผ่าน security check แป๊บนึงและไปที่เกตอีกที่นึง ใช้เวลาเปลี่ยนเครื่องไม่ถึง 40 นาที และผมก็ถึง IGU ตอนทุ่มนึง กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เกือบสองทุ่ม ตอนนั้นแม้จะมีไฟลท์ต่างประเทศแค่ไฟลท์เดียว และมีพนักงานตรวจคนเข้าเมืองแค่สองคน สำหรับผู้โดยสารทั้งลำครับ!!! ผมมัวแต่ถ่ายรูปเล่นรอบๆสนามบิน เลยได้ต่อแถวคิวท้ายสุด 555 พอเราได้กระเป๋าแล้วก็หา taxi เข้าเมือง Foz do Iguacu กันครับ ค่า taxi คนละประมาณ 15 Reai (ประมาณสองร้อยบาท) หากจะประหยัดก็นั่งรถเมล์ได้นะครับ คืนนี้ผมแพลนไว้ว่าจะนอนเมือง Foz do Iguacu โรงแรมชื่อ Pousada El Shaddai ครับ คืนละประมาณพันห้าร้อยบาท นอนได้สามคน ราคาไม่แพง อยู่กันแบบง่ายๆครับ (ขอบคุณน้องบอมที่แนะนำโรงแรมให้) ผมเลือกนอนที่เมือง Foz do Iguacu เพราะเมืองใหญ่กว่า Puerto Iguazu ในฝั่งอาร์เจนตินา ตัวเลือกโรงแรมเยอะกว่า ของกินเยอะกว่า และผมบินลงฝั่งบราซิล นอนฝั่งบราซิลก็สะดวกกว่า เพราะไม่ต้องข้ามพรมแดนตั้งแต่วันแรก หรือต้องกังวลว่าจะตกเครื่องบินหรือไม่ ต้องรีบทำเวลาข้ามแดนมาเพื่อขึ้นเครื่องบิน
ที่สนามบิน Foz do Iguacu อากาศดูเป็นใจครับ
พวกผมมีเวลาใน area รอบๆ Iguazu Falls ทั้งสองฝั่งแค่ 2 วันเต็ม ซึ่งก็เหลือเฟือสำหรับการเที่ยวชมน้ำตกทั้งสองฝั่งครับ ฝั่งอาร์เจนนั้นจะมีให้เดินเที่ยวชมเยอะกว่า เวลาเปิดปิดของฝั่งอาร์เจนคือตั้งแต่แปดโมงเช้า จนถึงสี่โมงเย็น ส่วนฝั่งบราซิลเปิดเก้าโมงเช้า ปิดห้าโมงเย็น เอาจริงๆก็เปิดปิดเวลาเดียวกันนั้นแหละครับ 555 เพราะว่าเวลาฝั่งอาร์เจนช้ากว่าบราซิล 1 ชั่วโมง ฝั่งบราซิลถ้าเดินรีบๆ 2 ชั่วโมงก็เก็บได้ครบแล้วครับ ส่วนฝั่งอาร์เจนนั้น ถ้าได้ไปครบทุกที่ ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆแน่นอน แพลนของผมก็ตั้งต้นจากฝั่งบราซิล ทางโรงแรมมีบริการรถตู้รับส่งข้ามไปเที่ยวฝั่งอาร์เจนตินาคนละ 30 เรียล รถจะรอเราเที่ยวเสร็จและรับกลับมาส่งถึงโรงแรมให้ครับ จริงๆสามารถนั่งรถเมล์ได้ ค่าใช้จ่ายถูกกว่า
ข้อดีคือรถตู้จะข้ามพรมแดนได้เร็วกว่ารถเมล์ เพราะมีช่องพิเศษ และคนขับรถก็จัดการรวบรวมพาสปอร์ตและเดินเรื่องให้ทุกอย่างเลย ผมเที่ยวฝั่งอาร์เจนตั้งแต่อุทยานเปิด และกลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่ายสองครึ่ง (เวลาบราซิล)
ฝั่งอาร์เจนตินานั้น ต้องเสียค่าเข้าอุทยาน 215 เปโซ (ดูราคาได้ตามภาพ) จ่ายเป็นเงินอาร์เจนตินาเปโซเท่านั้นนะครับ ฉะนั้นเตรียมแลกมาให้เรียบร้อย อาจจะแลกกับทางโรงแรมก็ได้เพื่อความสะดวก ฝั่งนี้แบ่งคร่าวๆได้เป็น 3 โซน คือ Devil’s Throat, เกาะ San Martin และเส้นทาง circuit ทั้ง loop บนและล่าง แต่ในช่วงที่ผมไปนั้นสองส่วนคือ Devil’s Throat และเกาะ San Martin นั้นปิดไม่ให้เข้าชมครับ ซึ่งน่าเสียดายมากๆ ถ้าดูจากแผนที่ด้านล่างยิ่งน่าเสียดายใหญ่
แผนที่นี้แสดงเฉพาะฝั่งอาร์เจนตินาเท่านั้นนะครับ แผนที่ไม่ได้สเกลด้วย ห้ามนำเอาไปอ้างอิงระยะทางนะครับ 555
หากดูตามแผนที่แล้วโซนของ Devil Throat จะอยู่บนสุด (เส้นทางสีชมพู ที่เขียนว่า Garganta del Diablo) เส้นทางนี้ยาวเกือบๆ 1 กิโลเมตร ทอดผ่านแม่น้ำเพื่อไปชมจุดที่แม่น้ำทั้งสายตกลงเป็นรูปเกือกม้า ตรงนี้จะเป็นจุดที่น้ำตกดูมีพลังน่าเกรงขามมากที่สุด และละอองน้ำก็เยอะที่สุดด้วย น่าเสียดายว่าราวๆกลางปี ก่อนหน้าผมไปนั้น เกิดกระแสน้ำเชี่ยวกรากและพัดเส้นทางเสียหายหมดครับ สามารถมองจากฝั่งบราซิลและเห็นเลยว่ามันพังไปขนาดไหน ตอนนั้นน้ำคงแรงและน่ากลัวมากๆ ถ้าคุณคาดหวังจะไป ก็ลองสอบถามทางอุทยาน หรือไม่ถามทางโรงแรมน่าจะง่ายกว่า เพราะโรงแรมคงสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับเราได้ 555
ถ้าไม่นับเส้นทางบนเกาะ San Martin และเส้น Devil’s Throat ที่ปิดตัวไป ก็เหลือแค่ loop บนและล่าง ตามแผนที่ด้านบนนี้ สีฟ้าคือ loop ล่าง ส่วนสีส้มคือ loop บน และทั้งสอง loop ก็สามารถเดินเชื่อมได้ตรงหอคอยสีขาว หากตั้งต้นจากทางเข้าอุทยาน (จุด E ในแผนที่) สามารถเลือกเส้นทางเดินสีเขียวอ่อน หรือจะนั่งรถไฟก็ได้ (รถไฟวิ่งตามเส้นประ ให้บริการฟรี) ซึ่งรถไฟนี้ก็จะวิ่งยาวไปถึง Devil Throat แต่ในช่วงที่ผมไปก็เปิดบริการให้แค่ป้ายเดียว ซึ่งจริงๆแล้วเดินจะใช้เวลารวมสั้นกว่า ผมเลยเลือกเดินตอนขาไป และนั่งรถไฟตอนขากลับ ถ้าเทียบกันระหว่างเส้นทางเดิน loop บนกับล่าง ผมว่าสวยทั้งสองอย่างครับ
ใน loop บน จะเป็นสะพานทอดยาวไปเรื่อยๆ ข้ามแม่น้ำสลับกับป่า ส่วนมากจะไม่เห็นตัวน้ำตกได้เต็มๆ เพราะจะเห็นจากด้านบนของน้ำตกมากกว่า มีเพียงไม่กี่จุดที่พอเห็นน้ำตกได้บ้าง เป็นแค่ด้านข้าง แต่ถ้าเลือกเดินไปจนสุด จะเห็นมุมที่ช่างภาพชอบไปถ่ายกัน เป็นมุมที่เห็นส่วนโค้งของแนวน้ำตกเป็นแนวยาว และมีหินก้อนใหญ่ตั้งโดดเด่น ถ้ามีโอกาสได้ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดนี้คงสวยงามมากๆน่าดู
จุดนี้เป็น loop ล่างครับ
และถ้าได้เดินลงไปถึงจุดขึ้นเรือ จะผ่านมุมนี้ครับ
ส่วน loop ล่างนั้นก็จะได้เห็นน้ำตกอย่างเต็มๆ และได้เข้าไปใกล้ๆ สัมผัสละอองน้ำกันอย่างชุ่มฉ่ำแน่นอนครับ กิจกรรมหลักๆนอกจากเดินชมน้ำตกแล้วก็ยังมีการล่องเรือเข้าไปชมน้ำตกใกล้ๆด้วย ฝั่งอาร์เจนตินานั้นมีให้เลือกสองแบบคือแบบที่เป็นเรืออย่างเดียว ตั้งต้นจาก lower loop สีฟ้านี่แหละครับ กับอีกแบบคือมีนั่งรถชมป่าไม้และสัตว์ก่อน จากนั้นก็ล่องเรือฝ่าคลื่นไปตามแม่น้ำ และเข้าไปฝ่าน้ำตก ซึ่งในช่วงสุดท้ายที่ฝ่าน้ำตกนี้ก็จะเหมือนกับการเลือกแบบนั่งเรืออย่างเดียว ซึ่งแบบการเลือกนั่งเรืออย่างเดียวก็จะถูกกว่า (หลายๆเวบก็แนะนำแต่แบบเรืออย่างเดียวนะครับ) ผมได้ราคาพิเศษมาจากโรงแรม คิดเป็นเงินเรียลแล้ว 50 เรียลต่อคนครับ ถามว่าสนุกไหม ก็ต้องบอกว่า มันส์มากกกกกกกกกกกกก
เรียกได้ว่าห้ามพลาดแต่ประการทั้งปวงครับ เปียกมาก เปียกมากที่สุด เรือฝ่าเข้าไปสัมผัสม่านน้ำตกแบบชนิดที่ว่า ให้สายน้ำตกเข้ามาตกบนเรือเลยดีกว่า 555 ละอองน้ำ สายน้ำ มันเปียกเสียจนผมมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ รู้แต่ว่ามันส์สุดๆ ผมก็ยังงงอยู่ว่าคนขับเรือเขามองเห็นเส้นทางได้ยังไง เกาะแก่งหินเยอะมากๆ ต้องยอมรับเลยว่าเขาขับได้เก่งจริงๆ ไม่ใช่เข้าไปเปียกกับม่านน้ำตกแค่รอบเดียวนะครับ พี่กัปตันเรือจัดให้เปียกถึง 3 รอบเลยทีเดียว 555 ดีที่ผมมีกล้อง gopro ติดไปด้วย เลยได้ภาพความมันส์มาฝากกันบ้าง 555
นอกจากนี้ น้ำตกอิกวาซูยังมีป่าที่อุดมสมบรณ์ มีสัตว์ให้ชมเยอะมากๆด้วยครับ ผมลงจากรถมาก็เจอนกเงือกมาต้อนรับเลย ประทับใจมาก แต่มาเจอตัว Coati ตัวแสบที่ชอบขโมยอาหาร ผมนี่ถึงกับเซ็งเลย เพราะมันขึ้นมาบนโต๊ะ และตบกระป๋องโค้กเย็นๆไปต่อหน้าเลย แม่เจ้าาาาา T_T
ทางอุทยานจะติดป้ายเตือนเลยครับว่าให้อาหารเจ้า Coati เพราะมันมีฟันคมมากๆ สามารถกัดมือเราแหวะได้เลย แถมกรงเล็บมันก็ดูแข็งแรงมากด้วย
สำหรับฝั่งบราซิล พวกผมเน้นหรูกันนิดหน่อยครับ เพราะว่าผมเลือกที่จะนอนโรงแรมหรูห้าดาวที่ชื่อ Belmond Hotel das Cataratas สนนราคาตกคืนละ 1030 เรียล ถ้าจองใน booking.com จะได้ราคาถูกกว่านี้นิดหน่อย แต่ก็ยังตกอยู่ที่คืนละ 930 เรียลต่อห้อง หรือประมาณ 12000 บาท!!! หนึ่งห้องนอนได้สองคน ห้ามมีเตียงเสริม (ในเวบโรงแรมบอกไว้ชัดเจน 55) ราคานี้ยังไม่รวมค่าเข้าอุทยานที่ทางโรงแรมน่าจะชาร์จให้อีก 52.2 เรียลต่อคน (ราคาเท่ากับในเวบของอุทยาน แต่เราอยู่สองวันหนึ่งคืนก็จ่ายครั้งเดียวครับ 55) ด้วยราคาที่แพงมากๆนี้ ถ้าไม่มีอะไรพิเศษ ผมคงไม่ควักกระเป๋าจ่ายแน่นอนครับ 5555 เหตุผลเดียวที่ผมเลือกอยู่โรงแรมนี้เพราะว่าจะเป็นหนทางเดียวที่สามารถอยู่ในอุทยานหลังจากเวลาปิดทำการแล้วได้อย่างถูกกฏหมาย จริงๆก็มีช่างภาพหลายคนเคยบอกว่าเขาต้องแอบซ่อนตัวอยู่ในป่าเพื่อหลบเจ้าหน้าที่ แล้วโผล่ออกมาอีกทีตอนพระอาทิตย์ตกหรือพระอาทิตย์ขึ้น วิธีการแบบนั้นคงต้องดันทุรังมากไปหน่อย ฮ่าๆ ต้องขอบคุณพี่หมูและพี่เสที่แนะนำโรงแรมนี้ให้นะครับ การได้ถ่ายภาพน้ำตกอิกวาซูตอนเย็นและตอนเช้า โดยที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มันเหมือนฝันจริงๆ เหมือนว่าอุทยานทั้งหมดเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีนักท่องเที่ยวมากวนใจเหมือนตอนเวลากลางวัน ซึ่งในตอนกลางวันนี่คนเยอะมากๆครับ แถมร้อนมากๆอีกด้วย ถ้าถามว่าคุ้มไหม ผมก็คิดว่าคุ้มนะครับ แค่ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกก็คุ้มสำหรับผมแล้ว แถมยังได้รับบริการอันยอดเยี่ยม อาหารเช้าที่อร่อยมากๆด้วย
โรงแรมหรูในฝั่งอาร์เจนตินาก็มีนะครับ เป็นของ Sheraton แต่ผมไม่มีข้อมูลว่าถ้าพักที่นี่จะสามารถเดินชมน้ำตกนอกเวลาอุทยานเปิดได้หรือไม่ แต่เท่าที่ดูก็ไม่มีรั้วกั้นอะไรนะครับ และตัวโรงแรมก็อยู่ในเขตอุทยานอยู่แล้ว จุดที่น่าสนใจคือวิวจากหน้าต่างโรงแรมจะสามารถเห็นน้ำตกได้เลย เทียบกับโรงแรมฝั่งบราซิลที่ไม่ค่อยเห็นอะไร แต่ฝั่งบราซิลถูกกว่าครับ ที่ผมเลือกนอนฝั่งบราซิลก็เพราะภาพถ่ายจากฝั่งบราซิลนั้นสวยกว่านั่นเอง
เส้นทางเดินในฝั่งบราซิลนั้นมีน้อยมากๆ เท่าที่เห็นแค่เส้นประสีส้มนั่นแหละครับ เดินแป๊บเดียวก็หมด แต่วิวนั้นสวยกินขาดเลยทีเดียว เห็นทั้งเกาะ San Martin และฝั่งอาร์เจนทั้งหมด โดยเฉพาะตรงปลายสุดด้านบนซึ่งเราจะได้เห็นม่านน้ำตกอย่างเต็มๆตา แต่ trail จะไปไม่ถึงตรงที่เป็นรูปเกือกม้านะครับ ตรงนั้นคงอันตรายเกินไปที่จะทำเส้นทางเดินได้ 55 ถ้าดูตามแผนที่อาจจะเข้าใจยากสักหน่อยเพราะมันไม่ได้สัดส่วนเลย สำหรับโรงแรมที่ผมจ่ายแพงๆนั่นคือเบอร์ 21 ครับ
ในฝั่งบราซิลนี้จะมีรถบัสให้บริการฟรีตลอดเส้นทาง มีหลายคันเป็นรถสองชั้น ชั้นล่างติดแอร์ ชั้นบนรับลบ ตอนกลางวันก็นับว่าร้อนมากทีเดียว ถ้าตั้งต้นจากทางเข้าอุทยานจะต้องใช้เวลาประมาณ 20 นาทีถึงจะถึงตัว trail ที่เดินชมน้ำตก มีจุดจอดให้ลงสองที่คือหน้าโรงแรม Belmond และอีกที่ก็เป็นสุดสายเลยครับ จริงๆสองจุดนี้ก็ใกล้กันมาก เดินแค่ 10-15 นาทีตามถนนก็ถึงแล้ว
สำหรับทริปผมนั้น หลังจากเที่ยวฝั่งอาร์เจน และเปียกมากๆ เราก็นั่งรถกลับฝั่งบราซิลครับ ถึงที่พักเกือบบ่ายสาม ก็ไม่ได้อาบน้ำอะไร เพราะกว่าจะนั่งรถกลับมา ตัวก็แห้งแล้ว ผมก็เลยไปซัดบุฟเฟต์เนื้อย่างบราซิลกัน เพราะยังไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน กินเข้าไปเยอะๆ กะให้อิ่มไปถึงเย็น เพราะอาหารที่โรงแรม Belmond มันแพง 5555 พอห้าโมงเย็นก็เรียก taxi เข้าไปที่ทางเข้าอุทยานฝั่งบราซิล ซึ่งทางโรงแรม Belmond ก็มีรถมารอรับส่งที่หน้าอุทยานอยู่แล้ว เชคอินเสร็จเกือบๆหกโมงครึ่งก็ออกไปลุยถ่ายแสงเย็นกันเลย
แม้ว่าวันนี้ฟ้าจะครึ้มๆตลอดทั้งวัน ตอนเย็นก็ไม่มีวี่แววว่าท้องฟ้าจะดีขึ้น ผมก็ลุ้นๆว่าจะมีฟ้าสวยๆไหม ผมเลือกที่จะตั้งต้นเดินจากทางเดินหน้าโรงแรม ไล่ไปจนถึงทางเดินที่ยื่นหน้าน้ำตก เดินราวๆครึ่งชั่วโมง สำรวจเส้นทางไปเรื่อยๆ ตอนไปถึงสุดทางแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เมฆเยอะ คงไม่มีแสงสาดมาที่หน้าน้ำตกแล้ว ผมก็เลยกลับไปถ่ายที่อีกจุดชมวิวนึง ที่ท้องฟ้าดูเปิดมากกว่า และหันไปทางตะวันตกด้วย
ผมอาจจะ underestimate มากไปหน่อย 555
พอผมปักหลักถ่ายที่จุดชมวิวนึงแล้ว ถ่ายไปเรื่อยๆ รู้สึกท้องฟ้ามันเริ่มมีสีมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น และก็เปลี่ยนเป็นส้มไปทั้งท้องฟ้า ลากยาวไปถึงทิศเหนือ และเผลอๆอาจจะส้มไปถึงตะวันออก ผมนึกถึงมุมที่อยู่ตรงสุดทางที่ได้ไปสำรวจมาก่อนหน้า มุมตรงนั้นมันหันทางเหนือพอดี แน่นอนว่ามุมนั้นสวยกว่า เห็นม่านน้ำตกอยู่ตรงหน้าเต็มๆ และมีสายน้ำเป็นฉากหน้า แต่ข้อเสียคือต้องเตรียมพร้อมลุยปะทะกับละอองน้ำมหาศาล ผมเลยตัดสินใจคว้ากล้อง ขาตั้ง และเซตฟิลเตอรืถ่ายภาพ วิ่งไปในทันที ทิ้งกระเป๋าไว้ เพราะหนัก เดี๋ยววิ่งไม่ทัน 555 แต่ผมก็คิดผิดครับ เพราะลืมเอาผ้าเช็ดเลนส์มาด้วย ร่มก็ไม่ได้เอามา
มาดูกันครับว่าฟ้าระเบิดมันเริ่มจากฟ้าเน่าๆที่ไม่น่าหวังเท่าไหร่
วิ่งมาได้ราวๆห้านาที คิดในใจ ชิบหายละ เอาไงดีฟะตรู ทันมั้ยเนี่ย ฟ้าก็ระเบิดเอาระเบิดเอา จะกลับไปจุดเดิมก็กลับลำไม่ทันแล้ว มาได้ไกลเกินกว่าที่จะกลับแล้ว ฟ้าตอนเย็นวันนั้นเรียกได้ว่าเป็นฟ้าที่สวยที่สุดในรอบปีเลย สวยพอๆกับที่เห็นที่ Yellowstone ผมตื่นเต้นมากๆ มันเหมือนอดรีนาลีนมันหลั่งไม่หยุด จำได้ว่าผมวิ่งแบบไม่คิดชีวิต ใจนึงก็กลัวลื่น เพราะใส่รองเท้าแตะ 555 ก็พยายามประคองไป วิ่งให้เร็วที่สุด และไม่ให้ลื่นล้ม ใจนึงก็รู้สึกว่าโชคดีมากๆ มาบราซิลแค่สองวัน แต่ได้ฟ้าระเบิด ดีใจจนกลั้นไว้ไม่อยู่
พอผมมาถึงมุมที่ปลายน้ำตก ก็ต้องทำใจกับสภาพละอองน้ำที่โหดสุดๆ นับว่าเป็นสถานการณ์ถ่ายภาพน้ำตกที่ยากที่สุดที่ผมเคยถ่ายมาเลย จินตนาการกันว่าแม่น้ำทั้งสาย ตกลงมาอยู่ตรงหน้าผมห่างไปไม่ถึงห้าสิบเมตร ละอองน้ำมันจะมากขนาดไหน ผมไม่สามารถค่อยๆกางขาตั้งกล้อง วางกล้อง และบรรจงโฟกัสได้เลย เพราะเพียงแค่สองวินาที ละอองน้ำมหาศาลก็ทำให้กล้องเปียกโชกแล้ว ผมเลยกางขาให้เสร็จก่อน หันหลังให้น้ำตก เช็ดเลนส์ (ใช้เสื้อยืดที่ใส่นี่แหละครับ เช็ดเอา) และโฟกัสให้เรียบร้อย โฟกัสกับภูเขาอีกด้านนึง ที่น่าจะได้ระยะโฟกัสใกล้ๆกับตัวน้ำตก ล๊อคโฟกัสไว้ มีฟิลเตอร์ Grad ND มีเท่าไหร่ก็ไม่ต้องใช้ เพราะพื้นที่รับละอองน้ำเยอะเกินไป เปียกแน่นอน แล้วหันหลัง เสียบเพลทลงขาตั้งและถ่ายทันที ถ่ายเสร็จก็หันหลังบังละอองน้ำ และวนขั้นตอนใหม่ทั้งหมดอีก ทำซ้ำๆแบบนี้จนกว่าจะได้รูปที่ชัดจนพอใจครับ ผมต้องแข่งกับเวลา เพราะท้องฟ้าสวยๆมันอยู่แค่ไม่กี่นาทีจริงๆ จำได้ว่าถ่ายไปไม่ถึง 10 ใบก็ต้องเก็บกล้องแล้ว ยังดีที่กล้องผมไม่พังไปเสียก่อน เพื่อนตากล้องหลายคนเจอละอองน้ำโหดๆอย่างนี้ กล้องน๊อคไปหลายรายแล้ว
ถ่ายไปสิบ ชัดแค่สองครับ เน่ามากๆๆๆ
ผมเดินกลับมาเอากระเป๋ากล้องที่ทิ้งไว้ และมันก็ไม่หายครับ เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย จะว่าไปผมก็ชะล่าใจมากๆที่ทิ้งของไว้ (แต่ในกระเป๋าผมก็ไม่มีของมีค่าสักเท่าไหร่ กล้องก็อยุ่กับมือ 555) แม้ว่าพระอาทิตย์จะตกไปนานแล้ว กลับมาถึงจุดชมวิวเดิม ฟ้าก็ยังพอมีสีอยู่ ผมเลยกดไปอีกสองสามภาพเป็นของแถม แต่มันกลับกลายเป็นภาพที่ผมชอบที่สุดของเย็นวันนั้น
จริงๆท้องฟ้าเดิมสีไม่ค่อยเยอะแล้ว แต่ผมเปิดสปีดนานมาก สีก็เลยเข้มข้นขึ้น
เรียกได้ว่า เย็นวันนั้น อิกวาซูสร้างความประทับใจให้ผมไปอีกนาน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม ณ ตอนนั้น มันสวย และตรึงตามากจริงๆ
ผมพอใจกับสิ่งที่ได้มากๆแล้วครับ บินมาไกลถึง 16 ชั่วโมง ความประทับใจที่มี มันคุ้มค่าตั๋ว คุ้มค่าโรงแรมที่จ่ายไปมากๆ ถ้าไม่ได้นอนโรงแรมนี้ ผมคงโดนเจ้าหน้าที่อุทยานไล่ให้ออกตั้งแต่ห้าโมงเย็น และไม่ได้เก็บภาพประทับใจนี้แน่นอน ต่อให้เช้าวันถัดไปฟ้าไม่สวยมาก ผมก็รู้สึกคุ้มเกินคุ้มแล้วที่ได้มาชมมรดกโลกแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง
วันแรกในอิกวาซูผมผ่านไปอย่างเข้มข้น ลุยฝั่งอาร์เจนตินาตลอดวัน นั่งเรือลุยน้ำตกจนเปียกโชก เดินทางข้ามประเทศสองประเทศ และปิดท้ายด้วยฟ้าระเบิดสุดฟิน วันที่สองก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ ผมตื่นไปรอแสงเช้า ซึ่งก็สวยเป็นไปตามแบบฉบับของอิกวาซู มีฟ้าระเบิดแต่ผิดด้าน 555 มุมที่ผมถ่ายมันไม่ระเบิด มุมที่ระเบิดไม่สามารถถ่ายได้เพราะเป็นป่าดิบ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะให้วันอีกวันไว้พักผ่อน เดินชมน้ำตก แต่ผมก็เที่ยวชมจนครบแล้ว ทั้งตอนเย็นและตอนเช้า โชคดีที่ขอทางโรงแรม check out สายได้ ได้เชคเอ้าท์ตอนบ่ายสาม เราเลยมีที่พักผ่อนกันในวันที่แดดร้อน และช่วงกลางวันนี้นักท่องเที่ยวมากเหลือเกิน พวกผมออกไปหลังบ่ายสี่ แต่คนก็เยอะจนถ่ายรูปไม่สนุกเลย กลายเป็นว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของอิกวาซูของผม คือตอนเช้าและเย็นที่ไม่มีคนครับ มันทั้งสวย อลังการ และสงบ เหมือนได้มีน้ำตกส่วนตัวอยู่หลังบ้านเลย (ว่างั้นไป)
ขอบคุณสายการบิน LAN ที่ให้ตั๋วถูกกับผม ขอบคุณธรรมชาติที่มอบฟ้าสวยๆและความทรงจำดีๆ และที่ขาดไม่ได้คือเพื่อนร่วมทริปในภาพ ขอบคุณจริงๆครับ
ปิดทริป48 ชั่วโมงที่ Iguazu ด้วยความประทับใจ (บิน 36 ชั่วโมง 5555) เบ็ดเสร็จค่าเสียหายทริปนี้อยู่ที่คนละ 380 USD หรือ 12500 บาทครับ ตั๋วเครื่องบินอีก 520 USD หรือ 17100 บาทแยกต่างหาก
สรุป – ถ้าชอบความมันส์ ต้องฝั่งอาร์เจนตินา ถ้าชอบวิวสวยๆ ไปฝั่งบราซิล ส่วนถ้าอยากได้ภาพดีๆ ยอมจ่ายแพงหน่อย นอนโรงแรมดี แต่คุ้มเกินคุ้มครับ ถ้ามาแบบประหยัด มีตัวเลือกโรงแรมมากมายที่ราคาไม่แพงในเมืองครับ
ส่งท้ายกันด้วยคลิปสั้นๆ เนตัดต่อให้ ดูเพลินๆนะครับ ถ่ายกันตอนหลังจากถ่ายแสงเช้าเสร็จแล้ว