อีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่ฤดูการถ่ายภาพน้ำตกเพลิง หรือที่เรียกกันว่า Yosemite Firefalls แล้วครับ
Firefall นี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ผมว่ามันพิเศษมากๆ นั่นคือต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างมากๆถึงจะเกิดได้ คอนเซปต์ง่ายๆคือ น้ำตกสายนึงไหลลงมาจากหน้าผา เมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะสม พระอาทิตย์จะทำมุมที่พอดิบพอดีมากๆในช่วงพระอาทิตย์ตก และแสงสุดท้ายของวันจะฉาบให้น้ำตกนี้มีสีส้มแดง และฤดูกาลที่เหมาะสมนั้นจะมีเวลาอยู่แค่ 2 อาทิตย์ตอนกลางไปทางปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีเท่านั้น
น้ำตกนี้ ถ้าดูตามแผนที่ มันจะชื่อ Horsetail Falls ครับ อย่าไปจำสับสนกับน้ำตกชื่อเดียวกันที่อยู่ใน Oregon นะครับ น้ำตกนี้เป็นน้ำตกสายเล็กๆที่ไหลลงมาจากหน้าผาใหญ่ยักษ์อันโด่งดังที่ชื่อ El Capitan ชื่อเดียวกับที่แอปเปิ้ลเอาไปตั้งชื่อให้กับ OS X นั่นเอง น้ำตกสายนี้จะมีน้ำแค่ช่วงหน้าหนาวตอนปลายๆเท่านั้น เพราะต้นน้ำมาจากหิมะที่อยู่บนยอดของ El Capitan ละลายลงมาเป็นน้ำตกนั่นเอง
ดังนั้น ความแรงของน้ำก็ขึ้นอยู่กับว่าปีนี้มีหิมะมากหรือน้อย ซึ่งสามปีล่าสุดที่ผ่านมา รัฐ California ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก ทำให้น้ำตก Horsetail Falls แทบไม่มีน้ำเลย ต้องเอาเลนส์ซูมเยอะๆจะเห็นสายเล็กๆที่ผมชอบแซวว่ามดยืนฉี่อาจจะเยอะกว่า 555 คนที่มาชม Firefall ช่วงสามปีล่าสุดก็ลุ้นกันอย่างหนัก ต้องลุ้นให้มีพายุหิมะลงมาซักนิดนึงก่อนช่วงกลางเดือนกุมภา เผื่อจะได้เติมสายน้ำให้ดีขึ้นสักเล็กน้อย แต่ก็สุดท้ายแล้วก็ไม่ค่อยอลังการสักเท่าไหร่
แต่สำหรับหน้าหนาวปีนี้ กุมภา 2016 จะเป็นปีที่ดีที่สุดในรอบหลายๆปี เพราะว่าปีนี้มีปรากฏการณ์ El Nino ซึ่งทำให้ฝนตก พายุหิมะเข้าเยอะมากๆตามแนวชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา ซึ่งถ้าใครอยากได้ภาพหน้าหนาวสวยๆของ Yosemite ก็ต้องปีนี้เลยครับ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ก็จะทำให้อีกด้านของมหาสมุทรแปซิฟิก นั่นคือประเทศไทยของเราเอง ประสบปัญหาภัยแล้ง ถ้าใครจำได้ว่าเมื่อสักสิบปีก่อนเราก็มีการพูดถึงกันว่า El Nino มา ปีนี้ร้อนและแล้งแน่ๆ ซึ่งเจ้า El Nino นี้จะส่งผลตรงข้ามกับชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาครับ เข้าใจว่าปรากฏการณ์เดียวกัน ทำให้ฝั่งตะวันออกของอเมริกา (ติดแอตแลนติก) จะมีหิมะน้อยลง (อันนี้ผมยังไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องนะครับ)
จริงๆแล้วช่วงเดือนตุลา พระอาทิตย์ก็จะทำมุมเหมือนกับเดือนกุมภา แต่เพราะว่าเดือนตุลาคมยังไม่มีหิมะ น้ำตก Horsetail Falls ก็เลยยังไม่มีน้ำ ทำให้ปรากฏการณ์ Firefalls นั้นเห็นได้ปีละครั้งเท่านั้นครับ
และนี่คือหน้าตาของมันครับ ผมถ่ายภาพนี้เมื่อสามปีที่แล้ว ตอนกลางเดือนกุมภา ปี 2013 ครับ เห็นไหมครับว่า Firefalls มันพิเศษสุดๆอย่างไร
ถ้าว่ากันตามทฤษฏี ปัจจัยหลักๆที่จะทำให้ Firefalls เกิดนั้น มีหลายปัจจัยทีเดียวครับ
- ตลอดหน้าหนาวจนถึงกลางเดือนกุมภา หิมะต้องมากพอ อย่างที่ผมเกริ่นไป ถ้าหิมะน้อย น้ำตกก็แห้ง ซึ่งปีนี้หิมะเยอะสมใจแน่นอนครับ
- แดดต้องทำมุมพอดีในช่วงเย็น ถ้าก่อนหน้าวันที่เหมาะสม แดดจะไม่เฉียงพอ และแดดจะไปตกที่หน้าผาด้านหลังด้วย ทำให้แสงสุดท้ายไม่ส่องที่น้ำตกอย่างเดียว และตัวน้ำตกจะไม่เด่น แต่ถ้ามาช้าเกิน แสงสุดท้ายจะถูกหน้าผาอื่นๆบังก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทำให้น้ำตกไม่สาดสีเพลิงเต็มที่ ปีนี้วันที่พระอาทิตย์ทำมุมดีที่สุดจะอยู่ประมาณวันที่ 21 กุมภาพันธ์ครับ
- ตอนช่วงเย็น ต้องไม่มีเมฆอยู่ที่ปลายขอบฟ้า ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้ามีเมฆบังแสงสุดท้าย น้ำตกเพลิงก็ไม่เกิดครับ มีบางปี แววดี แดดดีมาตั้งแต่บ่าย แต่ตอนเย็น เมฆมาจากไหนไม่รู้ สุดท้ายก็เฟลกันไป ส่วนตอนที่ผมไปเมื่อปี 2013 (ตามภาพบน) นั้นแดดดีตอนบ่าย พอใกล้ๆเย็นกลับมีเมฆบัง ผมเกือบถอดใจแล้ว แต่ก็รอจนวินาทีสุดท้าย และโชคดีมากๆที่มันมีช่องให้แสงลอดมาพอดี ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นยาวไม่ถึงสองนาทีจริงๆ
- ในช่วงราวๆหนึ่งอาทิตย์ก่อน Firefall อุณหภูมิควรจะสูงขึ้น หิมะจะได้ละลายเยอะๆ และสายน้ำจะได้ไหลแรงๆ ซึ่งถ้าปีนี้หิมะตกเยอะ แต่อุณหภูมิกลับเย็นยาวไปถึงสิ้นเดือนกุมภา น้ำตกก็อาจจะไม่ได้น้ำเยอะอย่างที่หวังครับ แต่โดยมากแล้วเดือนกุมภาจะเริ่มร้อนขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราอยู่แล้ว
ด้วยปัจจัยถึงสี่อย่างนี้ ทำให้การที่จะเห็น Firefall มันท้าทายเอามากๆครับ จะเห็นว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศหมดเลย 100% ฉะนั้นปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้เราควบคุมอะไรไม่ได้เลย เรามีหน้าที่แค่ไปอยู่ในจุด ถูกที่ถูกเวลา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติที่จะบรรเลงภาพอันสวยงามให้เราเห็นตรงหน้า วัดดวงวัดใจกันจนถึงวินาทีสุดท้ายเลย
เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่ดี ช่างภาพทุกคนต่างก็รอคอยมานาน สามสี่ปีก่อนหิมะไม่ได้ดีมากเท่ากับปีนี้ ฉะนั้นผมมั่นใจว่าปีนี้ ช่างภาพจะเยอะมากๆแน่นอน ปกติผมจะไปรอตั้งแต่บ่ายสอง ยืนรอ 3-4 ชั่วโมง เฝ้าขาตั้งกล้อง จนถึงช่วงพระอาทิตย์ตก ปีนี้อาจจะต้องไปเร็วกว่านั้นครับ และมันก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบปะช่างภาพ พบปะผู้คนใหม่ๆ เพราะคนมากมายจะมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างแน่นอน โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์อาทิตย์อาจจะแน่นมากๆ และที่จอดรถอาจจะไม่พอ ปกติทางอุทยานจะทราบดีว่าคนจะมาเยอะในช่วงนี้ เขาจะกั้นเลนถนนไว้หนึ่งเลนให้จอดรถ พยายามคุมการจราจรให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้วครับ
สุดท้าย สำหรับสถานที่ชมน้ำตก Firefalls จะมีสามที่ครับ
- South side of Merced River อันนี้อยู่ทางด้านใต้ของแม่น้ำ Merced ซึ่งก็เป็นมุมเดียวกับที่ผมถ่ายภาพด้านบนนี้ครับ จุดนี้จะเป็นคุ้งน้ำ ยืนได้หลายคน รับรองว่าหาไม่ยาก เพราะจะเห็นรถจอดเยอะมากๆๆๆๆ
- El Capitan Picnic area มุมนี้จะค่อนข้างเสยนิดนึง ผมไปแล้วไม่ถูกใจเลยไม่ได้ถ่ายมาครับ
- Pohono trail ใกล้ๆกับ glacier point ครับ มุมนี้ต้องเดินขึ้นเขาไปพอสมควร และจะเป็นมุมตรงที่เห็นน้ำตกเช่นกัน จะได้มุมสูงกว่า ซึ่งผมยังไม่เคยไป เลยยังไม่มีพิกัดที่แน่ชัดครับ
จดไว้เลยนะครับ 20-21 กุมภาพันธ์ บวกลบ 1 สัปดาห์ ซึ่งก็คือถ่ายได้ตั้งแต่ประมาณช่วง 13-28 กุมภาพันธ์ครับ ผมแนะนำว่าควรไปหลายๆวัน เพราะถ้าไปวันเดียว โอกาสผิดหวังมีสูงครับ อาจจะดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าก่อนจะตัดสินใจไปก็ได้ครับ (ที่นี่ล่วงหน้าแม่นๆได้สัก 3-4 วัน)
ผมถ่ายจาก South side ใช้ 200mm บน FX จาก 80-200 ก็เหลือเฟือครับ อย่าลืมขาตั้งกล้อง สายลั่น และถ่ายโดยใช้ mirror lock-up เสมอครับ ที่ช่วงเทเลขนาดนี้ ถ้าเราเปิดสปีดนานให้สายน้ำไหน โอกาสภาพสั่นจากการยกกระจกมีสูงครับ
ขอให้โชคดี อากาศเป็นใจนะครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Michael Frye และ Aaron Meyers
http://www.michaelfrye.com/articles/horsetail.html
http://www.michaelfrye.com/landscape-photography-blog/2016/01/20/horsetail-fall-forecast-2/
http://blog.aaronmphotography.com/2015/12/20/horsetail-falls-2016-yosemite-national-park/